พ่อแม่ทิ้งผมให้ตายที่โรงพยาบาล แต่แฟนผมคือคนที่อยู่ข้างๆ เสมอ
สวัสดีผมชื่อ “โนอาร์” อีกไม่นานผมก็จะอายุครบ 20 ปีแล้วไม่แก่มากหรอกแต่บางครั้งผมก็คิดว่านี่มันนานกว่าร้อยปีแล้วมั้งตั้งแต่วันที่ผมอายุ 17 แล้วมันไม่ใช่แค่ 2 ปีชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปมากไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ผมต้องใช้ไม้เท้าเดินด้วยจริงๆแล้วมันรู้สึกเหมือนกับเกิดใหม่อีกครั้งก็นะอย่างน้อยก็ต้องหัดเดินอีกครั้งตอนนั้นเองผมอายุ 17 ปีแล้วเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยภายนอกผมเป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีเพื่อนใหม่คนไหนของผมคิดหรอกว่าครอบครัวของผมต่างจากครอบครัวส่วนใหญ่อย่างไรก็ตามพวกท่านแตกต่างมากๆเพราะพ่อแม่ของผม เอิ่ม…และคิดว่าพวกท่านจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงด้วยพวกท่านเข้มงวดมากเหมือนส่งตรงมาจากยุคกลางเลยและทั้งสองข้างภายในเรื่องของศีลธรรมและบาปกรรมด้วยคุณคงเข้าใจสิ่งที่ผมซื้อใช่ไหม
แต่ผมว่าในปัจจุบันการที่จะป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงข้อมูลต่างๆมันเป็นเรื่องที่ยากมากนอกจากคุณจะแอบเข้าไปในห้องใต้ดินสำหรับผมแล้วผมเป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็นแล้วถ้าไม่ได้คำตอบอื่นๆ นอกจากประโยคที่ว่าเรื่องนี้มันบาปนะก็นะผมจะหาคำตอบเองในหนังสือบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผมตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าผมไม่เห็นด้วยกับมุมมองของพ่อแม่พวกฉันไม่เข้ากับผมเลยผมอยากจะใช้ชีวิตปกติเหมือนคนสมัยใหม่แต่เพราะผมไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่แยกกับครอบครัวตัวเองแล้วเพราะมุมมองล้าสมัยของพวกท่านเกี่ยวกับโลกนี้จึงต้องซ้อนหลายๆอย่างจากพวกท่านหรือก็คือผมต้องโกหกนั่นเอง โอ้ไม่นะอย่าเพิ่งจินตนาการถึงเรื่องแปลกๆหรือสกปรกนะได้โปรดผมกำลังพูดถึงสิ่งทั่วไปอย่างเช่นการไปดูหนังไซไฟหรือหนังสยองขวัญหรือไปปาร์ตี้ชายหาดกับเพื่อนหรือเพียงแค่ใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดแขนกุดในวันที่อากาศร้อนพ่อแม่ของผมก็คิดว่ามันเป็นบาปและเป็นสิ่งที่รับไม่ได้
ดังนั้นเมื่อผมเริ่มคบกับ “เคธี่” ผมตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ในกรณีนี้มันคงจะง่ายกว่าที่จะยอมรับว่าผมเป็นเกย์ทำไมนั่นเหรอเขาว่าพ่อแม่ของผมรู้จัก “เคธี่” ที่ดีมากๆถึงแม้พวกท่านจะไม่เคยพบเธอแต่พวกท่านก็เป็นคนรวบรวมลายเซ็นเพื่อไล่ “เคธี่” ออกจากโรงเรียนที่ผมกำลังเรียนอยู่ตามความเห็นของพวกท่านนั้นก็มีตัวตนของเธอเป็นแบบอย่างที่น่ารังเกียจต่อเพื่อนคนอื่นเรื่องของเรื่องคือ “เคธี่” ท้องตอนอายุ 16 และถึงแม้เธอจะสูญเสียเด็กในท้องไปแล้วทุกคนในหมู่บ้านก็รู้เรื่องที่เธอท้องบางคนถือว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องตลกบางคนก็เห็นใจแต่โดยรวมแล้วไม่มีใครเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องไปใส่ใจมากยกเว้นพ่อแม่ของผมแน่นอนว่าพวกท่านไล่ “เคธี่” ออกไม่สำเร็จแต่นี้เป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับผมมากในการโน้มน้าวไม่ให้ผมถูกย้ายโรงเรียนในปีการศึกษาสุดท้ายก่อนเรียนจบเพียงเพราะคนที่นอกลู่นอกทางอย่างเธอผมสาบานอย่างหนักแน่นว่าจะต่อต้านความชั่วร้ายของ “เคธี่” ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีจริงๆ แล้วผมก็หัวเราะแทบตายตอนพูดเรื่องนี้เพราะผมไม่รู้จักเธอเลยที่รู้ก็แค่อายุน้อยกว่าผม 1 ปีและเคยเห็นเธอผอมๆ ไม่กี่ครั้งเท่านั้นแต่กลับกลายเป็นว่าผมทำผิดคำสาบานของตัวเองสุดๆ
มีอยู่วันหนึ่งนักเรียนจากปีต่างๆต้องไปทัศนศึกษากันแล้วผมก็ได้นั่งข้าง “เคธี่” บนรถโรงเรียนพวกเราคุยกันและอาทิตย์ต่อมาเริ่มคบกันผมหลงรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้นเลยปกติแล้วผู้หญิงจะกลัวพ่อแม่แล้วออกเดทแบบลับๆบ่อยกว่าผู้ชายแต่สำหรับเรามันกลับกันผมต้องคิดคำโกหกคำแล้วของเราเพื่อไปเจอกับ “เคธี่” และเมื่อหน้าร้อนมาถึงนี่เป็นช่วงเวลาที่ผมเกือบทนรอไม่ไหวผมอยากจะอยู่กับเธอทุกๆนาทีแล้วรู้อะไรไหมผมหาวิธีได้ละพ่อแม่ของหนึ่งในญาติห่างๆของผมไปเที่ยวยุโรปในวันหยุดยาวแล้วหวังว่าลูกชายจะดูแลบ้านสุนัขและดอกไม้แทนในขณะไปเที่ยวภูเขายังเป็นเจ้าของฟาร์มม้าตัวนั้นไม่ใช่ปัญหาเนื่องจากมีคนดูแลมาอยู่หลายคนจึงต้องดูแลบ้านแค่นั้นพอแต่ญาติของผมที่อายุเท่ากันไม่อยากติดแหงกอยู่ในบ้าน 2 เดือนเต็มเขาบ่นเกี่ยวกับการต้องสอบเข้ามหาลัยให้ผ่านและแนะนำให้พ่อแม่มาขอให้ผมช่วยดูแลบ้านและไม่น่าเชื่อเพราะเขาตอบตกลงผมบอกพ่อแม่ว่าต้องการใช้เวลาในหน้าร้อนนี้ทำงานในฟาร์มแล้วพวกท่านก็ยอมให้ผมไปไปจากสิ่งล่อลวงในเมืองใหญ่ผมได้ไปจากพวกท่านพร้อมพาคนที่ล่อลวงให้ผมปักหัวปัมที่สุดไปด้วยนั่นก็คือ “เคธี่” ของผม
ตอนนี้ครับผมคิดถึงวันเหล่านั้นก็รู้สึกอิจฉาตัวเองงานบ้านทั้งหลายอย่างการดูแลบ้านน้องหมาและดอกไม้ต่างๆไม่ได้ใช้เวลามากเลยดังนั้นพวกเราจงใช้เวลาทั้งวันในการเดินเล่นรอบๆป่าและทุ่งพวกเราตกปลาที่แม่น้ำใกล้ๆและดูหนังตอนเย็นมีโฮมเธียเตอร์อยู่ที่นี่ด้วยนะพวกเรายังเริ่มไปช่วยที่คอกม้ากลับกลายเป็นว่าที่เคยเรียนขี่ม้าตอนยังเด็กด้วยและเธอชอบม้ามากผมเองก็ตกหลุมรักพวกมันด้วยมีอยู่หลายครั้งที่พวกเราไปขี่ม้าแก่และใจดีด้วยกันมีอยู่วันหนึ่งผมตัดสินใจจะเซอร์ไพรส์ “เคธี่” จริงๆแล้วผมต้องการที่จะโชว์ออฟสักหน่อยดังนั้นจึงบอกให้เธอมาเจอกันตรงที่โปรดของเราและรีบวิ่งไปที่คอกม้าโดยไม่ได้บอกเธอเลยว่าผมคิดอะไรอยู่ผมเลือกม้าคู่หนึ่งที่ผมชอบใส่อันบนหลังมันและขี่มันไปยังที่ที่ผมนัดเธอไว้โดยนำม้าอีกตัวมาให้ “เคธี่” ด้วยโดยพผูกบังเหียนของมันไว้ที่อานม้าของผมเส้นทางที่ไปไม่ไกลมากนะแล้วมาที่ผมเรื่องนั้นแน่นอนว่าสวยที่สุด แต่มันทั้งเด็กและขี้กังวลซึ่งพวกมันไม่เชื่อฟังผมเลยแล้วเมื่อมันหลุดจากอานที่ถูกผูกไว้แล้ววิ่งไปตามถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นมาของผมก็วิ่งตามไปโดยไม่สนใจที่ผมพยายามสั่งให้หยุดไม่นานหลังจากการวิ่งตามอย่างบ้าคลั่งนี้ผมไม่สามารถทรงตัวอยู่บนอ่านได้
ความคิดสุดท้ายที่จำได้คือทำไมทุกอย่างถึงกลายเป็นเรื่องโง่ๆแบบนี้ผมตกจากอานม้าด้วยความเจ็บปวดสุดๆนี้ผมจะหมดสติไปแต่เมื่อผมตื่นขึ้นมากลับไม่มีความเจ็บปวดเลยที่ผมเห็นมีเพียงแค่หน้าของ “เคธี่” ที่รักเห็นได้ชัดว่าเธอมาหาผมแล้วเจอผมในสภาพนี้เธอหน้าซีดและหวาดกลัวผมพยายามปลอบใจเธอว่าทุกอย่างโอเคแล้วลุกขึ้นแต่ผมไม่สามารถพูดหรือเดินได้เลยมันมีแค่เสียงหืดโง่ๆ ออกมาจากปากและร่างกายก็ไม่เชื่อฟังผมเลยเมื่อผมมาถึงโรงพยาบาลผลสแกนร่างกายยืนยันถึงสิ่งที่พวกเรากำลังกลัวกระดูกสันหลังผมเสียหายและคุณหมอก็ไม่รับประกันว่าผมจะสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งมั้ยมันไม่เพียงแค่ขึ้นอยู่กับการผ่าตัดจะเกี่ยวกับระยะเวลาการฟื้นฟูสมรรถภาพด้วยว่าเป็นอย่างไรซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานและยากลำบากตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล “เคธี่” คอยอยู่ข้างผมเสมอผมเห็นว่าเธอพยายามสงบสติอย่างมากเมื่อเธอจะกลัวและช๊อกกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นสุดๆ แต่เธอพยายามให้กำลังใจผมได้ทุกคำพูดแววตาและการสัมผัสแล้วพ่อแม่ผมล่ะ
คุณรู้ไหมจริงๆแล้วมันน่าตลกนะที่ตลอดเวลานี้ผมไม่ได้คิดถึงพวกเขาเลยเดินมาพูดท่านมาหาสิ่งที่ผมคิดมีเพียงแค่แน่ละพวกเขามาได้ไงเนี่ยแน่นอนว่าพวกท่านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วต้องมาที่โรงพยาบาลแน่ๆคุณคิดว่ามาเพื่อให้กำลังใจผมเหรอไม่เลยพวกฉันพบว่าแทนที่ผมจะทำงานหนักในฟาร์มกลับใช้ชีวิตไปวันๆกับผู้หญิงกร้านโลกซึ่งทำให้พวกท่านโมโหมากอีกทั้งยังบอกว่าที่ผมเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไปเพราะผลกรรมที่ผมก่อนและการรักษาก็เป็นการกระทำอันชั่วร้ายที่พยายามลบล้างสิ่งที่พวกท่านคิดว่าเป็นการลงโทษที่สาสมพวกท่านบ่นไปเรื่อยๆแล้วคุณก็รู้ผมอาศัยอยู่กับพวกท่านมาทั้งชีวิตซึ่งผมคิดว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว การที่ผมทำทำในสิ่งที่อยากทำแต่ไม่เคยบอกพ่อแม่แล้วนั้นเพราะรู้ว่าจะเกิดความร้าวฉานขึ้นแต่ก็ยังอาศัยอยู่กับพวกท่านซึ่งให้ที่พักพิงและภาพมายาของครอบครัวอบอุ่นๆแต่วันนั้นที่ผมต้องนอนอยู่เลยทำอะไรไม่ได้เลยผมก็ทนไม่ได้อีกต่อไปผมเรียกท่านว่าพวกบ้าคลั่งโหดร้ายและใจแคบและถึงแม้เสียงผมจะแหบและอ่อนแอทุกท่านก็ได้ยินและเข้าใจอย่างชัดเจน
พวกท่านกลับบ้านไปสาปแช่งผมปล่อยให้ผมเป็นอัมพาตแต่ “เคธี่” อยู่กับผมลองคิดดูว่าเธอจะได้รับประสบการณ์อย่างไรเมื่อต้องมาดูแลผู้ป่วยติดเตียงเธออยู่กับผมแล้วทำให้ผมผ่านความเจ็บปวดและความสิ้นหวังของการฟื้นฟูไปพร้อมกันแล้วเธอทำให้ผมสามารถเดินได้อีกครั้งถึงแม้บางทีจะรู้สึกไม่ปลอดภัยและยังต้องใช้ไม้เท้าอยู่แต่ผมเชื่อว่าต้องมีสักวันที่จะเดินได้ปกติอีกครั้งหนึ่ง คุณอาจจะถามว่าผมได้กลับไปบ้านพ่อแม่อีกไหมไม่ล่ะผมมีอีกครอบครัวหนึ่งแล้วครอบครัวที่ยอมรับผมเหมือนลูกในไส้และด้วยความช่วยเหลือของคนเหล่านี้ชีวิตผมกลับมาเติมเต็มอีกครั้งไม่จำเป็นต้องโกหกหรือแอบซ่อนแล้วคุณอาจจะเดาได้ว่าตอนที่ผมอาศัยอยู่กับครอบครัวของ “เคธี่” เมื่อเราแต่งงานผมใช้นามสกุลของเธอและลูกของเราก็กำลังจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนก็จะใช้นามสกุลของ “เคธี่” ด้วยคุณรู้ไหมผมรู้สึกเสียใจมากที่ “เคธี่” ต้องเจอกับช่วงที่ยากลำบากกับผมแต่ผมไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองหรอกมันเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับการเติบโตขึ้นถ้าผมไม่จ่ายมันผมอาจจะยังใช้ชีวิตเหมือนเด็กชายที่ต้องแอบซ่อนเสื้อขาดจากพ่อแม่ก็กลัวโดนทำโทษไม่ให้กินอาหารเย็น
ขอบคุณที่ฟังเรื่องของผมกด ไลค์ และดูวีดีโออื่นที่น่าสนใจได้ในช่องนี้เลย