ผมพบลุงที่ไม่เคยรู้ว่ามี แล้วผมก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงปิดบังผม!

สวัสดีผมชื่อ “ไรอั้น” ไม่กี่เดือนมานี้ผมเพิ่งค้นพบความลับอย่างหนึ่งของครอบครัว ที่พวกเขาปิดบังผมมาตลอดทั้งชีวิต และความรักที่ว่านั้นก็คือลุงของผมเอง

จะว่าไงดีพ่อแม่ของผมออกจากอนุรักษ์นิยมสุดๆ ในแทบทุกเรื่องเท่าที่พวกเขาทำได้ พวกเขาไม่ให้ผมแต่งตัวเหมือนที่อยากทำหรือฟังเพลงแบบที่ผมชอบแต่ผมก็ยังแอบทำแบบลับๆ อยู่ดี ผมแต่งตัวธรรมดาเวลาอยู่ต่อหน้าพวกเขาและตอนไปโรงเรียน จากนั้นพอถึงตอนกลางคืนเวลาที่ผมมีโอกาสผมก็จะเปลี่ยนเป็นสายอะไรที่เจ๋งกว่านั้นแบบที่พ่อแม่ผมเรียกว่าพวกหัวขบถ แล้วออกไปข้างนอกกับเพื่อนไปดูคอนเสิร์ตหรืออะไรทำนองนั้น

ผมสงสัยมาตลอดเลยว่าทำไมผมถึงแตกต่างจากครอบครัวทั้งหมดของผมโดยสิ้นเชิงแต่อยู่ๆ ก็กลายเป็นว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่เป็นแบบนี้ คืนหนึ่งผมไปที่งานเปิดไมค์เล็กๆ แบบที่ใครก็ตามออกมาร้องเพลงอ่านบทกวีหรือแม้แต่เล่าเรื่องตลกก็ได้พูดง่ายๆ ก็คือทำอะไรก็ตามที่คุณอยากทำนั่นแหละก็ลองนึกดูซิว่าผมประหลาดใจขนาดไหนตอนที่เห็นผู้ชายคนหนึ่งขึ้นไปบนเวทีพร้อมกีตาร์เขาสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดไว้ผมยาวใส่ต่างหูและนั่นก็คือพ่อของผม ผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองแล้วตอนนั้นเขาก็เริ่มร้องเพลง ผมไม่อยากเชื่อหูตัวเองด้วยแล้ว

เขาเป็นนักร้องที่ร้องเพลงได้เยี่ยมมากแต่นี่มันเหมือนความฝันเลย ผมตรงไปหาเขา หลังจากนั้นแล้วทักอย่างระมัดระวังว่า พ่อครับเขามองผมเรา 5 วินาที และใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปดวงตาเบิกโตขึ้นรอยยิ้มแห่งความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้า แล้วพูดว่า “ไงหลานชาย” อะไรนะเค้าอธิบายให้ผมฟังว่าเขาเป็นพี่ชายฝาแฝดของพ่อผม ชื่อว่า “นิโคลัส” เขาเพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีแล้วจะอยู่ที่นี่นานกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา 2 เดือนด้วยซ้ำ

เขาดีใจมากที่ได้เจอผมแล้วเราก็คุยกันนานมากในที่สุดผมจึงถามเขาว่าทำไมผมถึงไม่เคยรู้เรื่องเขาเลยเขาเลยอยู่บ้างและในที่สุดก็ตอบว่าผมไม่ต้องรู้จะดีกว่าจากนั้นจึงให้ข้อมูลติดต่อกับผมเพื่อที่ว่าผมจะได้ออกมาหาเขาทีหลังผมอยากรู้ความจริงดังนั้นจึงถามพ่อในวันต่อมาแต่ผมบอกพ่อเรื่องงานคอนเสิร์ตไม่ได้เลยโกหกว่าผมเห็น “นิค” บนถนนพอผมโกรธจัดแบบที่หน้าเป็นสีแดงและกำหมัดแน่นสุดท้ายบอกว่าอย่าได้พูดคุยกับเขาอีกเป็นอันขาดจากนั้นพ่อจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง

“นิค” เป็นคนประหลาดตลอดมายังเป็นคนหัวขบถต่อต้านสิ่งที่พ่อแม่อยากให้ทำแต่งตัวแล้วทำตัวแบบที่เขาต้องการมันน่ากระอักกระอ่วนเพราะแบบนี้เหมือนพ่อกำลังพูดถึงผมอยู่เลยและเขาก็เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงทำไมไม่มีใครเคยพูดถึงเขาเมื่อก่อน ลุงของผมขโมยเงินจำนวนมากจากปู่กับย่าและหนีออกจากบ้านพ่อของผมยังไม่เคยได้พูดกับเขาหรือพบเขาอีกเลยนับแต่นั้น

ผมไม่อยากเชื่อเลยหรืออย่างน้อยที่สุดไม่อยากเชื่อแบบนั้นจริงๆ ผมรู้สึกว่าลุงคือคนหนึ่งที่เข้าใจในตัวผมแล้วผมก็อยากใช้เวลาอยู่กับเขาอีกครั้งดังนั้นสัปดาห์ถัดมาผมจะไปที่งานเปิดไมค์อีกครั้งและเขาก็อยู่ที่นั่นเขายังคงเล่นดนตรีและหลังจากนั้นผมจึงตัดสินใจถามว่าทำไมลุงถึงขโมยเงินลุงไม่อยากตอบคำถามนี้ของผมเลย แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดทั้งอย่างนั้น

เขาเล่าเรื่องมากมายเกี่ยวกับชีวิตและการเดินทางให้ผมฟังและสัญญาว่าจะสอนผมเล่นกีต้าร์จนกว่าจะต้องออกจากเมืองอีกครั้งผมไม่อยากให้ลงไปเลยจริงๆ เพราะตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนเขาคือพ่อที่แท้จริงของผม หลังจากนั้น 1 สัปดาห์หรือราวๆ นั้นผมไปที่งานเปิดไมค์ตอนกลางคืนอีกครั้งเพราะผมชอบที่นั่นมากจริงๆ เราเดินไปตามถนนและกำลังคุยกันอยู่ ในต่อที่รถของพ่อแม่ผมมาจอด พ่อของผมออกมาจากรถโกรธจัดผมเดาว่าใครสักคนคงเห็นเราแล้วบอกเรื่องนี้พ่อแม่ผม

พ่อผมเริ่มตะโกนใส่แล้วลากตัวผมเข้าไปในรถ ลุง “นิค” แค่ยืนอยู่ตรงนั้นเขารู้สึกกลัวอยู่บ้างจากนั้นพ่อผมก็เดินไปใกล้เขาแล้วเอานิ้วจิ้มออกของ ลุง “นิค” แล้วบอกว่า “นายอยู่ให้ห่างจากครอบครัวฉัน” ตอนที่เราไปจากตรงนั้น ลุง “นิค” มองมาที่พวกเราด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า ผมขอให้พ่อพิจารณาเรื่องนี้ใหม่แต่เขาไม่ฟังผมเลยแน่นอนว่าพวกเขาต้องห้ามไม่ให้ผมไปไหนก็ตามนอกจากไปโรงเรียนเขายังยึดโทรศัพท์ผมไปแล้วบล็อกหน้าเฟสบุ๊คของลง “นิค” ด้วย

เค้าโทษลุง “นิค” ถึงความเปลี่ยนแปลงของผมทั้งที่ความจริงแล้วผมก็เป็นของผมแบบนี้มานานแล้ว พ่อของผมยังโกรธอยู่เสมอและไม่พูดกับผมเลย ผมรู้สึกว่านี้ไม่ยุติธรรมที่พวกเขาทุกอย่างที่ผมชอบและสิ่งที่ทำให้ผมเป็นผมไป ผมพยายามอธิบายเรื่องนี้แต่พ่อแค่บอกว่า “ลูกจะต้องไม่เป็นแบบเขา” ตอนที่ผมไปโรงเรียนผมพยายามติดต่อลุงของผมผ่านโทรศัพท์ของเพื่อนและเขาก็แค่บอกว่าช่างเถอะ

ผมรู้สึกผิดหวังกับตัวพ่อและลุงของผม แต่แล้วค่ำวันนึง ใครบางคนก็มากดกริ่งประตูขณะที่เรากำลังทานอาหารกันอยู่ พ่อไปเปิดประตูแล้วนั่นก็คือลุง “นิค” พ่อเริ่มตะโกนใส่เค้าแล้วลุงของผมแค่ก้มลงมองปลายเท้าของตัวเองเงียบๆ สุดท้ายเมื่อพ่อผมกำลังจะปิดประตู ลุง “นิค” ก็พูดดังๆ ว่า “ฉันไม่ได้ขโมยเงิน” ประตูปิดลง พ่อหันกลับมาแล้วมองผมกับแม่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีพ่อก็เปิดประตูอีกครั้งแล้วถามว่า “นายพูดเรื่องอะไร”

ลุงของผมถอนหายใจและบอกเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ กับพ่อกลายเป็นว่าคุณปู่คุณย่าของผม ยังทนพฤติกรรมผ่าเหล่าผ่ากอ และทัศนคติของเขาได้จนกระทั่งเขาบอกความจริงทั้งหมดกับพวกเขา เขาสารภาพกับปู่กับย่าว่าเป็นเกย์แล้วไม่อยากหลบซ่อนหรือโกหกอีกต่อไป คุณปู่คุณย่าของผมถึงกับช็อกและรังเกียจเขา หลังจากให้ปู่กับย่าพยายามกล่อมเขาว่าเขาไม่ใช่เกย์สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยอมแพ้พวกเขาไม่อยากให้ลุงอยู่ในครอบครัวอีกต่อไปเพราะคิดว่าเขาเป็นตัวการที่ทำให้ครอบครัวเสื่อมเสียเกียรติ

ดังนั้นจึงเอาเงินให้ แล้วบอกให้เขาออกจากบ้านไป แล้วไม่ต้องกลับมาอีกพวกเขาจ่ายเงินให้ลูกชายตัวเองหายไปตลอดกาลพวกเขาโกหกพ่อของผม แล้วลุง “นิค” ก็อยากบอกความจริงมาตลอด โดยเฉพาะกับผมแต่เขาก็ไม่อยากสร้างปัญหา แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาอยากเป็นเพื่อนกับครอบครัวของเราเพราะเขากำลังจะไปจากเมืองในเร็วๆ นี้แล้วและนี่ก็คือโอกาสสุดท้ายของเขาเพราะของผมยืนเงียบพูดไม่ออกเขาสับสนและแน่นอนที่สุดว่ามีความรู้สึกผิดปรากฏบนใบหน้า

ผมคิดว่าพวกเขาจะกอดกัน แล้วลุงผมจะมาร่วมทานมื้อเย็นกับเรา แต่พ่อของผมแค่ก้มมองพื้นแล้วพูดอย่างเศร้าๆ ฉันว่านายควรไปได้แล้วนะ “นิค” ลุง “นิค” ถอนหายใจแล้วจากไปจากนั้นพ่อของผมก็กลับเข้าไปในห้องโดยไม่พูดอะไรเลย หลังจากนั้นไม่กี่วัน พ่อเข้ามาที่ห้องผมแล้วให้โทรศัพท์ผมคืน รวมถึงอนุญาตให้ผมแชทกับลุงได้เว้นแค่อย่างเดียวตามที่พ่อบอกก็คือ อย่าคุยเรื่องแปลกๆ กัน ลุงส่งข้อความมาหาผมทีหลัง บอกว่าเขากับพ่อเคยเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาก ถึงพวกเขาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและบางทีพ่อก็คงรู้สึกเจ็บปวดที่ลงจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย แล้วยังเพราะพ่อเข้าใจว่าลุง “นิค” ขโมยเงินไปด้วย ผมเริ่มแต่งตัวแล้วทำตัวเหมือนที่อยากจะทำไปทีละน้อย ไม่ได้มากมายถึงขนาดทำให้พ่อแม่ผมช๊อกได้ แต่แบบค่อยๆ ขยับไปทีละก้าว ผมอยากไปหาลุงนี้ตอนอายุครบ 18 ปีและหวังว่าพ่อของผมจะกลับไปคืนดีกับเขาด้วยเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดผมก็รู้แล้วว่า พ่อรักพี่ชายของเขาแม้ตอนนี้ก็ยังสับสนอยู่ก็ตาม

ในโลกนี้มีผู้คนและเรื่องราวที่แตกต่างกันมากมายและผมก็ดีใจที่ได้แบ่งปันเรื่องราวของผมกดไลค์และกดติดตามด้วยนะถ้าคุณชอบและถ้าคุณมีอะไรอยากแบ่งปันทำเลย