ฉันเป็นโรคจิตเภทและหยุดทานยา
ไงทุกคนฉันชื่อ “ไคลี่” อายุ 15 ปีตั้งแต่ฉันเป็นเด็กเนี่ยฉันก็ถูกเรียกว่าเด็กพิเศษมาตลอดตอนเด็กฉันก็รู้ตัวแล้วว่าฉันมองอะไรต่างจากเด็กทั่วไปฉันกลัวทางม้าลายและบันไดส่วนสีเหลืองกับสีแดงเนี่ยจะทำให้ฉันตกใจฉันมักเสียขวัญเสมอเวลาเห็นสัญญาณไฟจราจรเด็กคนอื่นคิดว่าฉันเป็นบ้าและแม้แต่พวกพ่อแม่ต่างก็บอกให้ลูกตัวเองอยู่ห่างๆฉันไว้แม่เป็นคนที่รักและสนับสนุนฉันอยู่เสมอฉันรู้ว่าฉันต่างจากคนอื่นแต่ก็หาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมหลังจากการหาข้อมูลทางการแพทย์และการพูดคุยนำครั้งไม่ถ้วนกับจิตแพทย์ในที่สุดฉันก็ได้รู้จักชื่ออาการที่ฉันเป็นมันคือโรคจิตเภทแน่นอนว่าในตอนนั้นฉันไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรเพราะฉันก็เห็นว่ามันทำให้ทั้งพ่อและแม่ในใจสลายไปเลยการวินิจฉัยโรคครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตฉันไปอย่างสิ้นเชิงฉันต้องกินยาเยอะมากทุกวันเหมือนฉันกลายเป็นผักแต่ดูเหมือนว่าหมอจะพอใจมากกับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นของฉัน
ฉันรู้ว่าสถานการณ์นี้ก็ท้าทายพ่อกับแม่ของฉันเหมือนกันโดยเฉพาะกับพ่อ พ่อมีมุมมองต่อชีวิตของพ่อเองและปฏิเสธที่จะเชื่อความจริงที่ว่าลูกสาวของพ่ออาจเป็นคนที่มีปัญหาทางสมองพ่อโทษทุกอย่างและแม้แต่โทษว่าเป็นความผิดของยีนที่ไม่ดีของแม่พอไม่แม้แต่จะมองตาฉันและทำเหมือนว่าฉันไม่อยู่นั่นเป็นวิถีชีวิตของเราจนกระทั่งวันหนึ่งฉันเจอแม่นอนอยู่ที่พื้นห้องน้ำสาเหตุของการเสียชีวิตคือโรคหลอดเลือดสมองตีบตันแต่สาเหตุที่แท้จริงก็คือฉันเอง 8 ปีนับตั้งแต่ที่มีการวินิจฉัยโรคของฉันและหลายปีที่ผ่านมานั้นแม่ก็ทรมานจริงๆฉันรู้สึกเสียใจและหดหู่อย่างมากเมื่อพ่อบอกว่าจะส่งฉันไปโรงเรียนประจำไกลบ้านเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเห็นฉันอีกต่อไปฉันคิดว่ามันก็เหมาะสมแล้วแหละพ่อให้ฉันสัญญาว่าฉันจะทำตามใบสั่งแพทย์และกินยาเป็นประจำแม้ว่าฉันจะรู้ว่านักเรียนที่มีความผิดปกติทางจิตเล็กน้อยจะได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนที่โรงเรียนนั้นแต่ฉันก็กลัวสุดๆ ฉันกลัวถูกเข้าใจผิดแล้วก็ไม่ได้รับการยอมรับอีกครั้งแต่นี้เป็นครั้งเดียวที่ฉันดีใจนะที่ถูกเข้าใจผิด
คนแรกที่ฉันเจอเธอคือเพื่อนร่วมห้องของฉัน “เดเนล่า” เธอเป็นคนดีแล้วก็เป็นมิตรจนเรารู้สึกผูกพันกันทันทีเลยเราอยู่คนละห้องกันแต่เราจะใช้เวลาว่างทั้งหมดด้วยกันเรามีความสนใจเหมือนๆกันและเธอก็ไม่ชอบสีแดงกับสีเหลืองด้วยเมื่อฉันสารภาพกับเธอว่าฉันเป็นโรคจิตเภทเธอยิ้มแล้วก็บอกว่าเราทุกคนก็มีนิสัยแปลกๆด้วยกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะแม่ก็มักจะบอกกับฉันอย่างนี้เสมอฉันมีความสุขที่สุดเลยตอนนี้ฉันมีเพื่อนแท้ละฉันสามารถคุยกับเธอถึงทุกอย่างที่ฉันคิดได้ฉันยังเล่าให้เธอฟังเรื่องพ่อด้วยฉันคิดว่าฉันร้องไห้หนักจนตาแทบหลุดแต่ “เดเนล่า” โกรธมากกว่าเธอได้ยินเรื่องราวของฉันเธอเริ่มบอกฉันว่าฉันเป็นคนปกติที่สุดที่เคยเจอมาเธอยืนยันว่าฉันควรหยุดทานยาเพราะมันกำลังฆ่าฉันอยู่ก็ยังบอกเลยว่าฉันต้องส่งข้อความถึงพ่อแล้วบอกว่าฉันคิดแล้วรู้สึกยังไงฉันไม่เคยกล้าทำแบบนั้นเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันนึงฉันได้รับโทรศัพท์จากพ่อของฉันซึ่งผิดปกติมากฉันคิดว่าเขาลืมไปแล้วว่าฉันยังมีชีวิตอยู่นะทันทีที่เขาได้กำจัดฉันออกไปก่อนที่ฉันจะมีโอกาสพูดทักทายเพราะเริ่มตะโกนใส่ชั้นแล้วก็ขู่ว่าเขาจะไม่จ่ายค่าเรียนแล้วก็ตัดหางปล่อยวัดฉัน ฉันกลัวมากจนแทบกระดิกตัวไม่ได้แล้วนอกจากนี้ยังไม่รู้อีกว่าฉันทำอะไรผิดถึงทำให้พ่อโกรธขนาดนี้แต่แล้วชั้นก็พบข้อความแปลกๆในโทรศัพท์ของฉันมันถูกส่งไปหาพ่อแต่ฉันได้เป็นคนส่ง
ฉันตกตะลึงด้วยความกลัวเลยเพราะอ่านข้อความในข้อความเขียนว่าพ่อเป็นคนไร้ค่าเราใจแคบแล้วพ่อไม่มีสิทธิ์ที่จะทำกับฉันแบบนั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ฉันคิดจริงๆแต่ว่าฉันไม่ได้เขียนอ่ะแต่ก็มีคนเดียวทำได้ฉันเจอ “เดเนล่า” ในห้องของเราเธอมองฉันแบบเฉยมากราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นฉันสั่งให้เธอบอกความจริงเกี่ยวกับข้อความนั่นเธอไม่แม้แต่จะพยายามปฏิเสธและบอกว่าเธอทำเพื่อประโยชน์ของฉันเองแต่มันจะดีกับฉันได้ยังไงอ่ะถ้าพ่อของฉันตัดหางปล่อยวัดจริงๆฉันจะไปอยู่ไหนฉันด้วยน้ำตาไหลทันใดนั้น “เดเนล่า” ก็พูดอย่างเย็นชาว่าเธอก็เป็นแค่คนขี้ขลาดใช่ไหมล่ะนั่นเป็นสิ่งที่แน่แล้วก็น่าจะปวดที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินอาจเป็นเพราะฉันรู้ว่าเธอพูดถูกเราไม่คุยกันอีกต่อไปฉันไม่เจอเธอมาสักพักแล้วหลังจากวันนั้น “เดเนล่า” ไม่ได้กลับมานอนในห้องของเราอีกต่อไปแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าเธอหายไปไหนฉันคิดถึงเธอมากตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวในโลกฉันจะเดินวนไปมาตามทางเดินเลยหวังว่าเธอจะอยู่ตรงนั้นแต่ก็กลายเป็นคนอื่นแทนเขาชื่อ “โบดี้” เขาเรียนห้องเดียวกับฉันแต่เราไม่เคยคุยกันมาก่อนฉันไม่มีเพื่อนสนิทในห้องแต่นั่นเป็นสิ่งที่เราเหมือนกันเขาชอบอ่านหนังสือหรือว่าเดินคนเดียวมากกว่าออกไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นของเราแล้วก็เป็นสาเหตุที่คนสองคนที่เหมือนกันเนี่ยมาเจอกันที่สนามของโรงเรียนเขาพยายามคุยกับฉันหลายครั้งแต่ฉันไม่ชินกับการมีผู้ชายสนใจฉันมาก่อนฉันอายมากจนแทบพูดอะไรไม่ออกเลย
และเมื่อเขาส่งข้อความหาฉันและฉันออกเดทฉันสับสนมากและไม่รู้จะทำยังไงนอกจากจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงที่คุณเคยอยู่ข้างหลังเริ่มจีบผู้ชายแล้วหรอ “เดเนล่า” นั้นเองฉันมีความสุขมากที่ได้เจอเธออีกครั้งเราพูดคุยแล้วก็แบ่งปันเรื่องราวของเราเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย “เดเนล่า” ช่วยฉันตอบข้อความของ “โบดี้” และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวางตัวเวลาอยู่กับเขาซึ่งมันก็มีประโยชน์จริงๆเราใกล้ชิดกันแล้วเราก็เดินจับมือกันพูดคุยกันทุกเรื่องแต่ฉันก็ยังไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับโรคของฉันทุกอย่างกลับสู่ปกติจนกระทั่งเกิดเรื่องนั้นขึ้นมีครั้งหนึ่งฉันลืมหนังสือเรียนในห้องเลยต้องกลับไปเอาฉันเปิดประตูห้อง “เดเนล่า” กับ “โบดี้” ยืนอยู่กลางห้องและจูบกันอยู่ยายคนโกหกฉันโกรธมากจนแทบหายใจไม่ออกเลยฉันพุ่งตัวไปที่ “เดเนล่า” และพยายามคว้าผมเธอแต่เธอหลบแล้ววิ่งออกจากห้องไปฉันวิ่งตามเธอไปทันทีวิ่งเร็วสุดๆ แล้วก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่าฉันได้ออกจากบริเวณโรงเรียนแล้วฉันวิ่งไล่ “เดเนล่า” ไม่ทันแล้วก็หยุดก็หอบหายใจฉันพบว่าตัวเองยืนอยู่ในป่าลึก
ฉันวิ่งมานานเท่าไหร่แล้วหลังจากเดินผ่านต้นไม้อยู่หลายชั่วโมงฉันก็รู้ตัวว่าฉันหาทางกลับไม่ได้ฉันไม่รู้ว่า “เดเนล่า” อยู่ที่ไหนเธออาจจะหลงทางเหมือนกันก็ได้ฉันเรียกชื่อเธอหลายครั้งมากแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมันมืดแล้วฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงฉันหลงทางแล้วก็หมดแรงไม่มีโทรศัพท์อยู่กับตัวด้วยก็เลยโทรหาใครขอความช่วยเหลือใครไม่ได้เลยในที่สุดฉันก็ทรุดตัวลงบนพื้นใต้ต้นไม้แล้วก็พลอยหลับไปฉันตื่นแต่เช้าตรู่เพราะว่าได้ยินเสียงคนเรียกฉันแน่ใจว่ามันเป็นเสียงของ “เดเนล่า” นะฉันลืมตาขึ้นมาแต่ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นน่ะฉันยืนขึ้นแล้วก็ได้ยินเสียงอีกครั้งฉันเดินตามเสียงนั้นแต่ยังไม่เห็นเพื่อนของฉันเลยทันใดนั้นฉันเห็นหลังคาโรงเรียนฉันออกมาจากป่าได้แล้วแต่ฉันก็ยังไม่เจอ “เดเนล่า” และฉันก็ไม่ได้ยินเสียงของเธออีกต่อไปเธอช่วยฉันรอดมาได้แต่ทำได้ยังไงกันเมื่อฉันกลับไปโรงเรียนทุกคนต่างก็มองหาฉันยังตกใจฉันเห็น “โบดี้” มาหาฉันและถามคำถามฉันมากมายแต่เขาเป็นคนทรยศฉันก็เลยไม่พูดอะไรกับเขาทั้งสิ้นแล้วเขาก็บอกว่าเขาทนความประหลาดของฉันไม่ไหวแล้ววันนึงฉันเป็นคนหนึ่งอีกวันฉันไปเป็นอีกคนที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิงเลยอะไรที่ทำให้ฉันวิ่งออกจากห้องไปวันนั้นฉันโกรธมากเขาไม่รู้จริงๆหรอว่าทำไมอ่ะฉันกำลังจะตอบเขาเมื่อฉันพบว่าตัวเองถูกล้อมรอบไปด้วยนักเรียนและครูคนอื่นๆพวกเขาต่างที่มาที่ฉันฉันถูกนำตัวไปห้องครูใหญ่ทันที
ครูใหญ่สุภาพกับฉันมากแต่เขาบอกว่าทุกคนกังวลมากเขาบอกว่าเขาต้องโทรแจ้งพ่อของฉันและเขากำลังเดินทางมาที่โรงเรียนพวกเขาค้นหาฉันได้ป่าเพราะ “โบดี้” บอกว่าฉันวิ่งเร็วมากจนเขาตามไม่ทันแต่เชื่อไหมว่าฉันไม่สนใจเรื่องพวกนั้นเลยฉันไม่กลัวเรื่องที่พ่อจะมาหรือนี้ฉันอาจโดนไล่ออกจากโรงเรียนเลยในใจฉันคิดอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละฉันร้องไห้และเล่าเรื่องทุกอย่างให้ครูใหญ่ฟังฉันไม่ได้วิ่งออกไปคนเดียวฉันเล่าเรื่องให้ฉันทะเลาะกับ “เดเนล่า” ให้ครูใหญ่ฟังเป็นเพราะฉันเองที่ทําให้เธอต้องวิ่งหนีและเธอก็หลงป่าเช่นกันถ้ายังอยู่ในป่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจอครูใหญ่ดูสับสนมากเขาบอกว่า “โบดี้” บอกว่ามีแค่เขากับฉันอยู่ในห้อง 2 คนเท่านั้น โอ้แหงล่ะเขาต้องพูดอย่างนั้นน่ะไอ้คนขี้ขลาดฉันเริ่มตะโกนแล้วก็พยายามบอกว่าเขาโกหกฉันบอกว่าเขามาที่ห้องของเราแล้วก็จูบ “เดเนล่า” เพื่อนร่วมห้องของฉันครูใหญ่นั่งนิ่งอยู่ครู่นึงแล้วเขาก็มองฉันอย่างสงสารแล้วก็บอกว่า “ไดลี่” หนูไม่มีเพื่อนร่วมห้องนะไม่เคยมีด้วยในโรงเรียนของเราเด็กนักเรียนที่มีปัญหาสุขภาพแบบหนูปกติจะได้รับอนุญาตให้อยู่ห้องคนเดียวฉันจะบอกให้นะฉันใช้เวลาเป็นปีเลยกว่าที่ตัวเองจะเชื่อแล้วก็ยอมรับว่า “เดเนล่า” ไม่มีอยู่จริงเพื่อนรักเพียงคนเดียวของฉันคนที่รักและคอยดูแลฉันคนที่ส่งข้อความถึงพ่อเพื่อสนับสนุนฉันและสอนฉันว่าควรทำตัวยังไงเวลาคบผู้ชายมันไม่ใช่เธอหรอกที่จูบ “โบดี้” ในห้องและช่วยฉันออกมาจากป่าทั้งหมดมันคือฉันเองเป็นฉันตลอดไปตั้งแต่แรกรู้แล้วว่า “เดเนล่า” ไม่มีอยู่จริงแล้วฉันไม่ได้เจอเธออีกเลยแต่บางครั้งฉันก็ได้ยินเสียงของเธอในหัวฉันหวังว่า อยู่ที่ไหนสักแห่งในป่าหน้าแล้วก็กำลังรอฉันอยู่แต่บางครั้งมันก็ยากมากที่จะยอมรับความเป็นจริงที่มันเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นโรคจิตเภท
คุณเคยสับสนระหว่างความจริงกับความฝันไหมอะไรคือความแตกต่างที่ทำให้คุณแยกออกจากกันได้ฉันอยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเรื่องของฉันแชร์เรื่องนี้กับเพื่อนหรือใครก็ตามที่คุณคิดว่าจะสนใจเรื่องแบบนี้ได้เลยอย่าปล่อยให้ฉันจินตนาของตัวเองกลืนกินคุณ