ฉันกลายเป็น “นักโทษ” ในบ้านตัวเอง
ไงฉันชื่อ “แอนนี่” คุณรู้เรื่องการควบคุมของพ่อกับแม่ไหมฉันน่ะเป็นผู้เเชี่ยวชาญด้านนี้ล่ะฉันอยากเล่าให้คุณฟังถึงช่วงปีที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตฉันซึ่งฉันต้องใช้ชีวิตแบบเกือบจะเหมือนนักโทษจริงๆเลยและพ่อแม่ของฉันก็เป็นเสมือนผู้คุมตอนนี้ฉันอายุ 17 ปีแล้วแต่เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นในตอนที่ฉันยังอายุ 13 และครอบครัวของฉันอาศัยอยู่ในบ้านสวยๆที่มีสระว่ายน้ำแล้วก็สวนหย่อมฉันพึ่งได้วีดีโอเกมรุ่นใหม่ล่าสุดมาแล้วอยากจะไปลองเล่นในห้องนั่งเล่นสุดๆเลยตอนนั้นแม่กำลังทำอะไรสักอย่างในครัวขนาดดูแล “แอนดรู” น้องชายของฉันไปด้วยอยู่ดีๆตอนนั้นโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นซึ่งฉันก็ได้ยินและแม่ออกไปรับในห้องข้างๆแม่สาบานว่าแม่บอกให้ฉันช่วยดู “แอนดรู” ไว้แต่ฉันไม่ได้ยินนี่นาแล้วประตูหลังบ้านก็เปิดอยู่เรามีสระว่ายน้ำที่นั่นฉันจำได้เลยว่าสิ่งเดียวที่ดึงฉันออกจากการเล่นวิดีโอเกมมาได้ก็คือเสียงกรีดร้องของแม่ฉันที่เต็มไปด้วยความสะพรึ่งกลัว
น้องชายของฉันจมน้ำในวันนั้นเองไม่มีถ้อยคำไหนจะมาอธิบายความโศกเศร้าของครอบครัวฉันได้ตอนนั้นมันเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาฉันคิดว่าย้อนกลับไปทุกคนก็ต่างรู้สึกผิดแต่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แม่ฉันเอาแต่บอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของฉันพร้อมกับดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยน้ำตาแต่ยิ่งแม่บอกแบบนั้นฉันก็ยิ่งเศร้าเสียใจถ้าแค่ตอนนั้นโทรศัพท์ไม่ดังขึ้นมาเดี๋ยวฉันไม่ได้กำลังเล่นเกมงี่เง่านั้นก็คงดีแล้วหลังจากนี้เรื่องนั้นฉันก็ไม่เคยทำใจก็ไปแตะเกมได้อีกเลยไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นพ่อกับแม่ของฉันก็เริ่มควบคุมฉันอย่างเข้มงวดฉันรู้ว่าทุกคนที่ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมทั้งนั้นแต่ฉันเป็นประเภทที่ต้องเจอกับความเข้มงวดแบบสุดๆและบางครั้งก็ยังเป็นระดับที่มากเกินไปด้วยแม่ของฉันไม่เพียงแต่ขับรถไปส่งฉันที่โรงเรียนแต่ยังพาฉันไปถึงห้องเรียนแบบที่จับมือฉันไปด้วยแน่ละว่าทุกคนหัวเราะเยาะฉันในช่วงแรกที่เห็นจนกระทั่งพวกเขาก็ชินไปเองแล้วพูดถึงเรื่องจับมือแม่ยังบอกให้ฉันไปกับแม่ในทุกที่เช่นกันทางไปร้านขายของชำไปร้านเสริมสวยหรือไม่ว่าตอนไหนก็ตามที่เราต้องออกจากรถแม่ก็จะจับมือฉันไว้
ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเจอเพื่อนนอกบ้านด้วยซ้ำแม้ฉันจะขอไปไหนมาไหนด้วยทุกที่ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าหรือไปดูหนังขึ้นอยู่กับว่าเราจะนัดเจอกันที่ไหนแล้วก็จะอยู่ใกล้ๆตลอดเวลาหรือไม่อย่างนั้นแม่ก็ไปให้ทางเลือกคือฉันจะชวนเพื่อนมาที่บ้านก็ได้เพื่อที่แม่จะได้คอยดูแลเราไม่มีตอนไหนที่ฉันพูดถึงเป็นเรื่องสนุกเลยและพอถึงจุดหนึ่งฉันก็ไม่ได้รับคำเชิญจากเพื่อนให้ไปไหนด้วยอีกฉันจะบอกไงดีฉันคงไม่โทษเพื่อนที่ทิ้งฉันได้หรอกใครจะชอบออกไปข้างนอกกับแม่คนอื่นล่ะโดยเฉพาะแม่ที่เป็นโรคชอบควบคุมอย่างแม่ของฉันและนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่มากจริงๆคุณรู้ไหมเวลาที่เล่นโซเชียลมีเดียฉันเห็นรูปเพื่อนๆไปเที่ยวกันที่สวนสนุกแต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจโทษแม่ได้เหมือนกันเพราะเห็นได้ชัดว่าแม่กลัวจะมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับฉันและหลังจากสูญเสียลูกคนนึงไปแล้วแม่คงไม่อาจทนรับการสูญเสียคนไปได้ด้วยเหตุนี้สิ่งเดียวที่เป็นความหวังของฉันก็คือให้รอจนกว่าความเศร้าจะจางลงและหวังว่ามือของหน้าที่จับฉันไว้อย่างแน่นหนาจะคลายออกบ้าง
ส่วนเรื่องนี้เหมือนจะเกิดขึ้นเกือบ 1 ปีหลังโศกนาฏกรรมนั้นฉันพบผู้ชายคนหนึ่งชื่อ “เทอรี่” ที่โรงเรียนแต่ฉันชอบเขามากโดยเฉพาะมาคิดดูว่าฉันโชคดีแล้วเขาก็เป็นฝ่ายเข้าหาฉันก่อนวันหนึ่งเขาสังเกตเห็นว่าฉันมองเขาในช่วงมื้อเที่ยงเขาก็เลยมาหาฉันแล้วทักว่าสวัสดีฉันจำได้ย้อนกลับไปตอนนั้นฉันคิดว่านั่นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้นความสัมพันธ์เลยและถ้าเขาชวนฉันไปไหนต่อให้เป็นโอเปร่าที่ฉันเกลียดฉันก็จะตอบตกลงและเขาก็ทำจริงๆในสุดสัปดาห์ต่อมาเราจึงนัดกันไปเจอที่สวนแล้วเขาก็เป็นคนใหม่ในโรงเรียนเราก็เลยยังไม่รู้เรื่องของแม่ฉันแน่นอนว่าพออยู่บ้านฉันต้องบอกพ่อกับแม่ทุกอย่างแล้วต้องขออย่างจริงจังเลยว่าให้แม่ปล่อยฉันไปคนเดียวหมายถึงไปไหนมาไหนโดยไม่มีแม่ตามไปด้วยนะเพราะนั่นคงจะเป็นการออกเดืจริงๆจังๆแล้วต้องไม่ใช่แบบไปเจอพ่อกับแม่
ฉันคิดว่าหลังจากที่เล่า แบล็คกราวน์ ของฉันให้ฟังแล้วอย่างน้อยคุณก็คงเดาได้ใช่ไหมว่าตอนนั้นโอกาสของฉันมีน้อยมากแค่ไหนในที่สุดพ่อก็ยอมพบกันครึ่งทางกับฉันบอกว่าฉันจะไปเดทที่สวนก็ได้แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขแม่จะเป็นคนไปส่งให้อย่างน้อยที่สุดจะได้ดูว่าเธอดู “เทอรี่” เป็นคนยังไงฉันต้องส่งข้อความหาแม่ทุกครึ่งชั่วโมงเพื่อบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีฉันต้องกลับบ้านตอน 19:00 น ซึ่งฉันต้องไปเจอ “เทอรี่” ตอนห้าโมงเย็นถึงยังงั้นฉันก็คิดว่านี่มันมีความหมายอยู่แล้วเข้าไปในห้องเพื่อเตรียมตัวสำหรับช่วงสุดสัปดาห์การเดทเป็นไปด้วยดีเราคุยกันหลายเรื่องแล้วปรากฏว่าเรามีอะไรหลายๆอย่างเหมือนๆกัน อย่างเช่นพวกเราชอบม้าเหมือนกันแล้วก็ยังเคยขี่ม้าแบบสั้นๆในสวนถึงจะต้องส่งข้อความงี่เง่าพวกนั้นให้แม่บอกว่าฉันไม่เป็นไรขณะที่พยายามซ่อนให้พ้นสายตา “เทอรี่” ด้วยแต่ก็ไม่ได้ส่งผลร้ายอะไรเรามีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและจากนั้นเราก็จึงออกจากสวนเตรียมไปบ้านฉันในเมื่อเขาสัญญาว่าจะพาฉันไปส่งฉันก็พนันได้เลยว่าเขาคงวางแผนจะจูบฉันที่หน้าประตู
แต่ทันใดนั้นฉันก็สังเกตเห็นรถของพ่ออยู่อีกฝั่งของถนนฉันพยายามจะทำเป็นว่าทุกอย่างโอเคแล้วบอก “เทอรี่” ว่าไม่มีอะไรแต่ตลอดเวลาที่เราเดินไปด้วยกันโดยก็ขึ้นตามไปช้าๆและจอดที่ไหนสักแห่งใกล้ๆเมื่อเราไปถึงจุดหมายแล้วจึงหยุดทำเป็นไม่เห็นอะไรแล้วเพราะฉันก็ปรากฏตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ล่ะว่าจะต้องไม่มีอะไรอย่างการจูบเกิดขึ้นในเย็นนั้นและสถานการณ์แบบเดียวกันซึ่งเกิดขึ้นซ้ำในอีกอาทิตย์ต่อมาเมื่อ “เทอรี่” พาฉันไปดูหนังแต่ครั้งนี้เมื่อฉันออกไปเข้าห้องน้ำระหว่างที่หนังฉายฉันก็เห็นพ่อแม่ฉันอยู่ถัดจากเราไปไม่กี่แถวทำเป็นว่าไม่เห็นฉัน ฉันโกรธพวกเขามากจริงๆโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาให้สัญญาไปแล้วแต่พวกคุณรู้ไหมว่าพ่อแม่ฉันอ้างว่าอะไรพ่อบอกว่าครั้งแรกนั้นเขาแค่บังเอิญเห็นเราและคิดว่าไม่ไปขัดจังหวะดีกว่าแล้วจากนั้นพวกเขาก็เลยตัดสินใจมาดูหนังเรื่องเดียวกันและนี่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายสักหน่อยพวกเขาคิดว่าฉันเป็นอะไรทารกหรอ
และอีกอย่างนี้ก็เลยเป็นครั้งแรกที่ฉันก่อกบฏประท้วงในที่สุดฉันก็พูดออกมาว่าพวกเขามีปัญหาเรื่องการควบคุมและถึงขนาดบอกด้วยว่าพวกเขาต้องไปพบจิตแพทย์ประโยคสุดท้ายหน่ะหยาบคายฉันรู้และฉันได้รับการลงโทษอย่างรุนแรงด้วยพวกเขาบอกให้ฉันขึ้นไปข้างบนและอยู่ในห้องโดยไม่ต้องทานมื้อเย็นแต่ก็นะตอนนั้นโกรธเกรี้ยวแล้วก็ขุ่นเคืองเกินกว่าจะกินอะไรอยู่แล้วล่ะหลังจากคืนนั้นพบว่าจะนอนไม่หลับพระเจ้าฉันโกรธพ่อแม่ของตัวเองมากพวกเขาไม่รู้เลยหรือไงว่ากำลังทำลายชีวิตฉันนั่นแหละฉันก็เลยตัดสินใจว่าจะหนีออกจากบ้านก็ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระหรืออะไรหรอกนะฉันแค่อยากออกไปใช้เวลานอกบ้านและให้พวกเขารู้ว่าถึงตอนเช้าแล้วก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกฉันจะมุดออกไปทางหน้าต่างและทำข้อศอกเจ็บมากซะจนน้ำตาแทบไหลแต่ฉันก็ยังไม่ยอมล้มเลิกแผนการนั้นเป็นครั้งเดียวที่ฉันออกมาข้างนอกและตระหนักว่าฉันทิ้งโทรศัพท์ไว้ในห้อง
ฉันตัดสินใจไปที่บ้านของ “เทอรี่” รีบเพราะฉันไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนอีกแล้วคุณก็รู้นี่ว่าเพราะอะไรใช่ไหมถึงอย่างนั้นบ้านของเขาก็อยู่ไกลจากฉันมากและฉันก็เลยคิดว่าจะเสี่ยงดูน่ะและในอีกบางทีอาจจะ 30 นาทีฉันก็ไปอยู่ที่นั่นอยู่ใต้หน้าต่างห้องเขาเลยคิดเอาเองจากไฟที่เปิดอยู่ว่าเขายังไม่หลับฉันคว้าก้อนหินเล็กๆจำนวนหนึ่งมาแล้วก็เริ่มขว้างใส่หน้าต่างห้องเขาฉันเคยเห็นฉันในหนังหลายเรื่องและในที่สุดก็มีโอกาสได้ทำเองแล้วมันน่าตื่นเต้นมากขณะที่ “เทอรี่” ปีนลงมาหาฉันไปทั้งประหลาดใจและมีความสุขในที่สุดฉันก็ได้สัมผัสถึงอะไรที่อาจเรียกได้ว่าอิสรภาพฉันคิดว่าคงไม่มีอะไรโรแมนติกไปมากกว่านี้แล้วฉันฉลาดมากจริงๆที่ทำไปจนกระทั่งเราได้ยินเสียงรถใกล้เข้ามาที่บ้านของเธออย่างเร่งรีบใช้เลยพวกเขานั่นแหละพ่อแม่ฉันไงคุณก็รู้พูดเขาจะต้องเก็บที่อยู่และเบอร์ติดต่อของทุกคนที่ฉันมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเอาไว้ฉันกังวลว่าพวกเขาอาจทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็เลยรีบออกไปหาเขา
ตอนนั้น “เทอรี่” แต่นั้นไม่ช่วยอะไรเลยพวกเขาเริ่มกรีดร้องแล้วก็ตะโกนขณะทุบประตูหน้าของบ้าน “เทอรี่” เพื่อทำให้พ่อแม่เขารู้ทุกอย่างพระเจ้าพวกเค้าโทษ “เทอรี่” ด้วยที่ทำให้ฉันหน่อยออกมาแล้วแล้วข่มขู่ครอบครัวที่น่าสงสารนั้นว่าจะลากพวกเขาขึ้นศาลฉันยังต้องเล่าให้พวกคุณฟังต่อไหมว่าหลังจากนั้นฉันก็ไม่มีแฟนอีกต่อไปนับแต่นั้นการถูกกักบริเวณในบ้านของฉันก็กลายเป็นความทรมานที่แท้จริงถึงฉันจะเคยคิดว่าอะไรอะไรคงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านอีกต่อไปโดยไม่ผ่านพ่อหรือแม่ไปด้วยฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ล็อคประตูไม่ว่าจะไปอาบน้ำเดี๋ยวเข้าห้องน้ำแล้วก็มีเวลาแค่ 10 นาทีในการเข้าห้องน้ำเพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันอยู่ในนั้นนานเกินไปแม่จะมาเคาะประตูถามฉันว่ายังโอเคอยู่ไหมใช่พ่อฉันยังตอบประตูหน้าต่างห้องฉันให้ปิดสนิทเพื่อนฉันจะได้หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วฉันโศกเศร้าแล้วก็แหลกสลายอย่างสิ้นเชิงเลยฉันจำได้ว่าฉันไม่เคยอยากได้อะไรเลยในตอนนั้นน้องก็เป็นคนอื่นดูว่ามีพ่อแม่แบบอื่นแล้วก็แทบรอให้อายุครบ 18 ปีแล้วออกไปอยู่มหาวิทยาลัยออกไปจากคุกเวรแห่งนี้ที่พ่อกับแม่ฉันเรียกว่าบ้านแทบไม่ไหวบอกตรงๆเลยนะฉันไม่เคยคุยกับใครเรื่องชีวิตฉันเพราะมากสงสัยตายคนภายนอกอะไรๆก็ไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นหมายถึงทุกคนก็พยายามจะปกป้องลูกของพวกเขานั่นแหละและไม่มีใครควรตัดสินคนอื่นเรื่องนี้หรอกอย่างน้อยแม่ฉันก็พูดแบบนั้น
แต่เราครอบครัวหนึ่งโพธิ์กี่บอลพวก “กิ๊บบ้อน” ก็มาซื้อบ้านหลังหนึ่งบนถนนฝั่งตรงข้ามบ้านฉันเองเรื่องก็เกิดขึ้นตอนนั้นตอนแรกแม่ชวนคุณนาย “กิ๊บบ้อน” มาดื่มกาแฟด้วยกันจากนั้นคุณ “กิ๊บบ้อน” ก็มาเล่นกอล์ฟกับพ่อของฉันไม่นานครอบครัวเราจึงเป็นเพื่อนกันแต่วันนึงก็กลายเป็นว่าครอบครัวของเรายังมีเรื่องที่เหมือนกันมากกว่านั้นอยู่ด้วยกันที่ต่างมีลูกวัยเดียวกันใช่พวกเขามีลูกชายชื่อ “เจเรมี่” เขาเรียนหนังสืออยู่กับบ้านฉันก็เลยเป็นเพื่อนคนเดียวที่เรียกว่าพอจะคุยกับเขาได้จริงๆแล้วเขาก็ยังแปลกๆนิดหน่อยฉันพบว่าเวลาที่แม่เชิญพวกเขามาทานมื้อค่ำ “เจเรมี่” ต้องขออนุญาตทุกอย่างที่เขาจะทำทั้งทานสลัดทูน่าหรือไปเข้าห้องน้ำและแม่ของเขาก็จะบอกเขาเสมอทำนองว่าอย่าลืมล้างมือหรือทำตัวดีๆแล้วก็กล่าวทักทายด้วยล่ะและอื่นๆ
ใช่ปรากฏว่าพ่อแม่ของเขาก็เสพติดการควบคุมด้วยเหมือนกันถึงฉันจะบอกได้ว่านอกจากเรื่องประหลาดแบบนั้นแล้วพวกเขาก็ดูแต่ปกติธรรมดาแล้วก็ยังตลกมากแน่นอนว่าหลังจากเห็นพฤติกรรมประหลาดจากเพื่อนบ้านของเราพ่อแม่ฉันเพิ่งตัดสินใจคุยกันเรื่องนี้ขณะที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะฉันเฉยฉวยจังหวะนั้นคิดว่าคงพอมีโอกาสบอกว่าพวกเขาก็ไม่ต่างจากเราหรอกแม่พยายามจะปฏิเสธด้วยการบอกว่าพวกเขาพยายามจะปกป้องฉันหลังจากสูญเสียน้องชายฉันไปแต่ครั้งนี้แม่ฟังดูมั่นใจน้อยลงฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปคุยอะไรกันต่อไหมแต่ไม่นานหลังจากนั้นสถานการณ์ของฉันก็เปลี่ยนไปนิดหน่อยตอนนี้ฉันบอกได้ด้วยความโล่งอกแล้วว่าฉันได้รับอนุญาตให้ออกไปเจอเพื่อนอีกครั้งโดยไม่ต้องมีพ่อแม่ไปด้วยฉันยังคงต้องกลับถึงบ้านเร็วอย่างสามทุ่มแต่อย่างน้อยฉันก็ได้ใช้เวลาในห้องน้ำนานเท่าที่ฉันอยาก
คุณชอบเรื่องราวของฉันหรือเปล่าถ้าชอบคลิปกลุ่มไลน์และแบ่งปันกับเพื่อนของคุณด้วยนะ