ครอบครัว

เพื่อนบ้านของฉันสูญเสียลูกชายและพวกเขาพยายามจะพรากฉันไปจากพ่อแม่ของฉัน

สวัสดีผม “แรนดี้” ตอนนี้ผมอายุ 17 ปี แต่เรื่องที่ผมจะเล่าให้คุณฟังนี้ มันเกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ก่อนที่ผมอายุแค่ 13 ปีตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่ยากและก็แย่ที่สุดในชีวิตของผมเลย ผมขอเริ่มต้นเล่าเรื่องการเสียชีวิตของสิ่งที่สุดของผมก่อนแล้วกันนะ “ไมเคิล” เป็นเด็กอายุ 14 ปีที่ต้องทนทุกข์จากการพิการอย่างรุนแรงมาตั้งแต่เกิดเขามีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอมาก แล้วมันแย่เขาไม่สามารถไปโรงเรียนได้ตามปกติอันที่จริงแล้ว ผมเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในวัยเดียวกันกับเขาที่เขาสามารถพูดคุยได้ 

ไม่ใช่แค่เราที่เป็นเพื่อนกันเท่านั้นแต่พ่อแม่ของพวกเราก็ยังสนิทสนมกันมาตั้งแต่ที่เราเริ่มต้นเป็นเพื่อนบ้านกันด้วย จนใครๆ แถวนั้นต่างคิดว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันพวกเราใช้เวลาวันหยุดทุกวันด้วยกันแล ะผมก็มักจะไปนอนค้างที่บ้านของ “ไมเคิล” บ่อยๆ เราเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน และถึงแม้ว่าผมจะมีเพื่อนคนอื่นที่โรงเรียนก็ตามแต่เขาถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ แม้ว่าทุกคนจะรู้ดีว่าไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวนัก แต่มันก็ยากที่จะทำใจได้เร็วเกินเวลาที่เขาจากไปจริงๆ 

ผมยังจำได้หลังจากงานศพเสร็จสิ้นแล้วในขณะที่พ่อแม่ของพวกเรากำลังยุ่งกับธุระต่างๆ อยู่ผมแอบเข้าไปที่ห้องของ “ไมเคิล” ทุกอย่างในนั้นมันดูเหมือนเดิมเหมือนกับตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ “ไมเคิล” มักจะมานั่งบนขอบหน้าต่างแล้วมองออก และมองออกไปที่ถนนเพื่อรอเวลาให้ผมแวะไปหาเขาหลังเลิกเรียน วันนั้นผมเลยนั่งอยู่ที่นั่นแล้วพยายามจดจำรายละเอียดทั้งหมดของมิตรภาพระหว่างเรา ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเผลอหลับไปตอนไหนแต่ผมจำได้ว่าผมฝันถึงเค้า และเห็นเขานั่งอยู่ที่นั่นข้างๆ ผม

เขาบอกกับผมว่าเขามีความสุขก็เขาไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป ผมตื่นเช้าขึ้นมาอย่างงงๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ผมยังอยู่ในห้องของเขา สักพักผมก็พบว่าพ่อของ “ไมเคิล” ก็เห็นว่าผมอยู่ที่นั่นเพียงแต่เขาไม่ต้องการทำให้ผมตื่น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนถึงพูดแต่ว่าเวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง ผมว่ามันไม่จริงประมาณ 1 เดือนต่อมาพ่อแม่ของ “ไมเคิล” ก็ตัดสินใจจะขายบ้าน และย้ายไปอยู่ที่อื่นแต่คุณรู้ไหมว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับพ่อแม่ของผมอีกต่อไป ผมรู้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในช่วงที่โศกเศร้ามาก แต่ผมคิดอยู่เสมอว่าในกรณีเช่นนี้มันน่าจะดีกว่าถ้ามีคนคอยอยู่เคียงข้างพวกเราไม่ได้ใช้เวลาช่วงเย็นด้วยกันในสนามหลังบ้านอย่างที่เคย แล้วพ่อๆ ของเราก็ไม่ได้มาดูฟุตบอลด้วยกันหรืออะไรอย่างอื่นเหมือนเมื่อก่อน

ผมพยายามถามแม่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอก็แค่บอกว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งในขณะที่พ่อไปทำงานแล้วแม่ก็กำลังวุ่นอยู่กับพวกดอกเดซี่ของเธอในสวน จู่ๆ แม่ของ “ไมเคิล” ก็แวะมาพอเธอเห็นว่ามีผมอยู่แค่ลำพังคนเดียวในห้องครัว เธอจึงเดินเข้ามานั่งข้างๆ และเริ่มถามเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับโรงเรียนและอื่นๆ ช่วงขณะนั้นผมรู้สึกราวกับว่าพวกเรายังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่แล้วพอแม่เห็นว่าพวกเรากำลังคุยกันเธอก็รู้สึกโมโหมากๆ แล้วพูดกับคนที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธออย่างหยาบคายว่าอย่ามายุ่งกับพวกเรา แล้วเธอก็บอกให้ผมกลับไปที่ห้อง และห้ามพูดคุยกับพ่อแม่ของ “ไมเคิล” อีกเด็ดขาด

ผมรู้สึกสับสนมาก แต่ผมเลือกที่จะไม่โต้เถียงเธอพูดตามตรงนะตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นแม่เกรี้ยวกราดขนาดนั้นมาก่อนเลย ไม่กี่วันต่อมากลางดึกคืนหนึ่งในขณะที่ผมกำลังหลับอยู่ผมก็ได้ยินเสียงดังมาจากชั้นล่าง ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของผมกำลังโต้เถียงกันเกี่ยวกับอะไรบางอย่างอยู่ แล้วด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมก็เลยลงไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมเห็นพ่อแม่ของผมแล้วพ่อแม่ “ไมเคิล” อยู่ที่นั่น แล้วทุกคนดูเหมือนกำลังเป็นกังวลและโกรธ ผมซ่อนตัวอยู่เหนือบันไดเพื่อแอบฝันว่าพวกเขากำลังเถียงเรื่องอะไรกันอยู่ 

แต่ทันใดนั้นพ่อก็เงยหน้าขึ้นมา และเห็นว่าผมอยู่ตรงนั้น ผมเดาว่าพวกผู้ใหญ่ทั้ง 4 คนได้ตกลงใจกันว่าถึงเวลาที่ผมควรต้องได้รับรู้ทุกอย่างซะที พ่อแม่ของ “ไมเคิล” รีบกลับไปในทันที และพ่อแม่ของผมรีบผมเข้าไปในครัวสิ่งที่ผมกำลังจะรู้ต่อไปนี้ มันได้เปลี่ยนมุมมองของผมเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง และกับทุกคนที่ผมเคยรู้จักมาก่อนทั้งชีวิต พ่อกับแม่บอกผมว่า 

นานมาแล้วแม่ของ “ไมเคิล” ได้ให้กำเนิดเด็กชายอีกคนหนึ่งโดยที่ก่อนหน้านี้เธอ และสามีของเธอมีลูกชายที่ป่วยอยู่แล้วพวกเขาพยายามรับมือกับการดูแลลูกชายทั้งสองคนอยู่เป็นเวลาเกือบ 1 ปี แต่แล้วพวกเขาก็ต้องประสบกับปัญหาทางด้านการเงิน พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี แล้วในตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พ่อแม่ของผม ได้ซื้อบ้านหลังที่อยู่ข้างกับพวกเขาพอดีครอบครัวของเรากลายเป็นเพื่อนกันและพ่อแม่ของไมโครก็ได้พบความจริงว่าเพื่อนบ้านใหม่ของพวกเขาไม่สามารถที่จะมีลูกเป็นของตัวเองได้เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ นั่นจึงทำให้พวกเขาตัดสินใจยกลูกชายคนเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมของเพื่อนบ้านแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่พวกเขาได้วางแผนไว้ทั้งสองคนมีความสุขด้วยกันเพียงแค่ชาวบ้านด้วยกันเท่านั้นแต่ยังแชร์ลูกชายด้วยกันอีกด้วย

แต่แล้วเมื่อไหร่ข้อเสียชีวิตลง และพ่อแม่ของเขาตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อื่น พวกเขาต้องการให้ลูกชายคนที่ 2 ไปอยู่กับพวกเขาด้วย และนี่หมายความว่าเด็กคนนั้นจะต้องรู้ความจริงซะทีแต่ทว่าพ่อแม่บุญธรรมของเขาก็เป็นฝ่ายที่ยังไม่พร้อมกับเรื่องนี้ ตอนแรกผมยังไม่ทันเข้าใจด้วยซ้ำว่าเรื่องของผม คงเป็นเพราะว่าผมยังคงงัวเงียอยู่มันเป็นไปไม่ได้ที่พ่อกับแม่จะไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของผม แต่กลับกลายเป็นว่าเพื่อนบ้านของเราต่างหากที่เป็นพ่อแม่ของผมตัวจริง ผมหมายถึงใช้ครอบครัวของพวกเราสนิทสนมกันมากและ “ไมเคิล” กับผม เราก็เป็รเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันแต่เดี๋ยวก่อนนะ ใช่เราเป็นพี่น้องกันจริงๆ แล้วตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่าผมพึ่งสูญเสียพี่น้องร่วมสายเลือดของผมไป 

ผมรู้สึกสับสนไปหมดแน่นอนว่าพ่อแม่ของผม เอ่อ…หมายถึงคนที่ผมอยู่ด้วยน่ะพวกเขาพยายามทำให้ผมใจเย็นลงและพยายามสรรหาคำพูดอธิบายทุกอย่าง แต่ผมไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้เลย สิ่งเดียวที่ผมต้องการในตอนนั้นก็คือการที่ “ไมเคิล” ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่เราจะได้หนีไปให้พ้นๆ จากพวกผู้ใหญ่ขี้โกหกพวกนี้ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปชีวิตของผมกลับมาสู่สภาพปกติอีกครั้งพ่อแม่ของ “ไมเคิล” คือผมขอเรียกเขาแบบนั้นก็แล้วกันนะพวกคุณจะได้ไม่ต้องสับสน ในที่สุดพวกเขาก็ขายบ้านและย้ายไปอยู่ที่อื่นและครอบครัวที่ซื้อมันก็มีลูกชายที่อายุรุ่นเดียวกับผม และเราก็กลายเป็นเพื่อนกัน

ในที่สุดผมก็รู้สึกโล่งใจเพราะผมคิดได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ยากไปกว่าการมีชีวิตอยู่ในความไม่แน่นอน นับตั้งแต่นั้นผมได้พูดคุยเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างกับพ่อแม่ของผมและพวกเขาก็พาผมไปพบกับนักจิตวิทยาเด็กอายุระหว่าง 2-3 เดือนพูดตามตรงถ้าผมเป็นพวกเขาก็อาจจะทำแบบนั้นเหมือนกันแล้วผมจะพยายามเก็บมันเป็นความลับที่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลายปีแล้วที่พวกเราไม่ได้ติดต่อกับพ่อแม่ของ “ไมเคิล” เลยแต่แล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนจู่ๆ ผมก็ได้รับจดหมายจากออสเตรเลีย มันส่งมาจากพวกเขาแล้วมันก็เป็นจดหมายที่ยาวที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต สรุปแล้วมันคือคำขอโทษจากพวกเขาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างและเล่าถึงชีวิตของพวกเขาในซิดนีย์และความหดหู่ใจของพวกเขาที่ต้องอยู่ห่างกับแม่และพ่อของผมพวกเขาขอร้องให้พวกเราสามคนไปเยี่ยมพวกเขาที่นั่นแล้วพวกเขายังสัญญาอีกว่าจะซื้อตั๋วให้ทันทีที่เราเลือกวันเดินทางได้แล้ว

ตอนนี้ผมกำลังเก็บข้าวเก็บของเพื่อไปออสเตรเลียเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม ใครจะรู้ล่ะบางทีเรื่องเล่าเรื่องต่อไปของผมอาจเกิดขึ้นในชีวิตนี้ก็ได้แล้วพบกันเร็วๆ นี้ก็ได้และอย่าลืมกดไลค์กดติดตามด้วยนะครับ 

เรื่องเล่าที่เกี่ยวข้อง

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments
Back to top button
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x

ปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณา

กรุณาปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณาก่อนนะ เพราะเว็บจะอยู่ได้ก็จากป้ายโฆษณา