แม่ของฉันอ่านความลับที่หม่นหมองที่สุดในไดอารี่ของฉัน
สวัสดีทุกคนฉันชื่อ “เอมีลี่” ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดว่าความโชคร้ายของฉันมันสิ้นสุดไปหมดละจนกระทั่งแม่ของฉันได้ค้นพบความลับที่มืดมนที่สุดของฉันตอนนี้ฉันคิดว่าเราไม่มีทางจะเป็นเหมือนเดิมกันอีกต่อไป
อาทิตย์ที่แล้วฉันกับแม่ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ของเรา เราเองแกะกล่องข้าวของไม่หมดแต่เราก็มีความสุข เพราะว่าบ้านหลังเก่ามันเป็นเหมือนเครื่องเตือนความจำถึงเรื่องแย่ๆ ในชีวิตของเรา แต่สิ่งเลวร้ายมันก็มักเกิดขึ้นเสมอในยามที่คุณไม่ต้องการฉันกำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียนแล้วก็คิดถึงเรื่องบ้าน และพอฉันมาถึงฉันก็เห็นแม่นั่งร้องไห้อยู่บนพื้นฉันอยากถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทันใดนั้นฉันเห็นไดอารี่ของฉันในมือเธอ นี่มันอะไรกันเนี้ย ดูเหมือนว่าเธอจะเปิดกล่องข้าวของของฉันแล้วก็พบมัน
ฉันอยากอธิบายทุกอย่างกับเธอแต่ว่าเธอเห็นฉันเธอก็วิ่งไปร้องไห้ที่ห้องของเธอ โอ้! พระเจ้าฉันหยิบไดอารี่นั้นขึ้นมาเพื่อดูว่าแม่อ่านไปถึงหน้าไหนแล้ว ฉันเสียใจอย่างสุดซึ้ง เธออ่านมันทั้งหมด ไม่มีทางแม่ไม่ควรที่จะได้อ่านข้อความพวกนี้ เพราะว่าไดอารี่เล่มนี้มันเป็นไปด้วย ความโกรธม, ความเกลียดชัง, ความเจ็บปวด และก็ความทุกข์ทรมานต่างๆ ฉันเริ่มเขียนขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่น้องสาวตัวน้อยของฉันพึ่งเกิด ใช่ 2 ปีที่แล้วแม่กับพ่อของฉันได้เป็นมนุษย์ที่มีความสุขที่สุดในโลกเพราะพวกเขามีลูกเล็กเพิ่มขึ้นอีก 1 คนจากนั้นชีวิตของพวกเราก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตอนนั้นฉันอายุ 12 และพ่อแม่ก็คิดว่าฉันโตพอแล้วพวกเขาก็เลยมุ่งความสนใจไปที่น้องสาวตัวน้อยของฉัน
ฉันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาละเลยฉันเปล่าเลยแต่พวกเขาได้สร้างลำดับความสำคัญขึ้นพวกเขาต้องดูแลลูกน้อยก่อนเป็นอันดับแรกถึงจะค่อยมาใช้เวลากับฉันแต่ปัญหาก็คือเด็กทารกต้องการความสนใจตลอด 24 ชั่วโมง ฉันก็เลยต้องใช้เวลาตามลำพังฉันพยายามทำใจยอมรับแล้วนะฉันรู้ว่ามันจำเป็นแล้วก็พยายามช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้านของพ่อแม่บ้าง แต่ว่าฉันยังเป็นเด็กมันไม่มีความอดทนมากพอ ฉันก็แค่ต้องการความเอาใจใส่และดูแลบ้างเหมือนกัน ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว ฉันจึงเริ่มต้นเขียนไดอารี่เล่มนี้ ถ้าคุณได้เริ่มอ่านมันคุณก็จะเห็นว่าความหงุดหงิดของฉันนั้นมันเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความโกรธแค้น อันที่จริงได้พยายามทำตัวเป็นพี่สาวที่ดีแล้วนะ แต่ว่าการดูแลทารกมันยากมากจริงๆ ฉันรำคาญน้องมาก ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเธอต้องการอะไร ตอนที่เธอกรีดร้อง หิวข้าว, หิวน้ำ หรืออยากเปลี่ยนผ้าอ้อม ฉันไม่รู้ทั้งนั้นน่ะ
ฉันจนปัญญาจริงๆ การร้องไห้ของเธอไม่มีวันจบสิ้นและความรักที่ฉันมีให้ต่อน้องก็น้อยลงไปทุกวัน บางครั้งฉันได้แต่มองแล้วก็คิดว่าเธอเกิดมาทำไม ฉันถูกบังคับให้ดูแลน้องมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นฉันก็เลยโต้เถียงกับพ่อแม่ของฉันอย่างหนักฉันไม่อยากจะทำแบบนั้นสักหน่อย แต่ฉันทนเธอไม่ไหวต่อไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นฉันเกลียดน้องน้องพรากชีวิตของฉันไปแล้วมันเปลี่ยนเป็นมหากาพย์แห่งเสียงกรีดร้องกับร้องไห้ พูดตามตรงนะบางครั้งต้องแอบหวังว่าจะให้เธอตายไปซะด้วยซ้ำ
ฉันรู้มันแย่มากแต่มันเป็นเรื่องจริงแล้วฉันก็รู้สึกแย่กับมันเหมือนกัน แต่ที่สำคัญที่สุดเลยคือฉันรู้สึกละอายใจกับบันทึกสุดท้ายที่เขียนไว้ ในวันที่สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น ฉันเพิ่งขออนุญาตพ่อกับแม่ไปดูหนังกับเพื่อนๆ เราตกลงกันว่าแม่จะมารับฉันในตอนเย็น แน่นอนว่าสิ่งนี้ฉันต้องแลกมันมากับการยอมดูแลน้องทั้งวัน แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่หลังจากดูหนังเสร็จแล้วเพื่อนๆ ของฉันก็มีคนมารับกลับบ้านไปหมดแต่แม่ฉันยังมาไม่ถึงสักที ฉันก็เลยโทรหาแม่แต่แม่ไม่รับ ฉันยืนอยู่ที่นั้นเกือบครึ่งชั่วโมงฉันก็เลยโทรให้พ่อมารับแทน
แต่เขาบอกว่าเขากำลังดูน้องอยู่และให้ฉันโทรหาแม่สิ โอ้ว นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม ฉันโกรธมากนี่ฉันต้องรออยู่ที่นั่นจนถึงเช้าเลยหรือไง นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีเลยนะที่ฉันขอร้องอะไรบางอย่างจากพ่อกับแม่แต่มันกลับกลายเป็นปัญหาซะอย่างนั้นน่ะ ฉันเริ่มตะโกนใส่พ่อฉันเขาเลยบอกว่าอีกสักพักก็จะออกมารับแต่คำว่าอีกสักพักของเขาเนี่ยหมายถึง 1 ชั่วโมงอ่ะ
เมื่อพ่อฉันมาถึงฉันเข้าไปในรถแล้วก็ได้ยินเสียงร้องอันคุ้นเคยทันที แน่นอนเสียงน้องสาวฉันเอง พ่อไม่สามารถทิ้งเธอไว้ในบ้านคนเดียวได้ เขาก็เลยต้องพาเธอมาด้วย ตอนนั้นฉันโมโหมากเราเริ่มทะเลาะกันฉันก็เลยพูดออกไปว่า “หนูเบื่อพ่อกับแม่แล้วก็ยัยเด็กน้อยนี้ด้วย” พ่อตกใจมากเขาหันมาหาฉันและต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง
แต่เราก็ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้น เราเกือบจะชนกับรถที่วิ่งสวนมา พ่อจึงหักพวงมาลัยทันทีและเราก็หลุดออกจากถนนชนกับต้นไม้ข้างทาง หลังจากเกิดอุบัติเหตุฉันรู้สึกตัวขึ้นมาที่โรงพยาบาลความคิดแรกของฉันคือพ่อกับน้องสาวของฉันอยู่ที่ไหน ฉันอยากจะลุกขึ้นแล้วก็วิ่งไปหาพวกเขาแต่ฉันทำไม่ได้ฉันรู้สึกว่าขาสั้นขยับไม่ได้ ฉันมองไปที่มันแล้วฉันก็กลัวขึ้นมาทันที ขา 2 ข้างของชั้นถูกเข้าเฝือกอยู่และจากนั้นฉันก็รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นมาทันที ฉันกรีดร้องและทันใดนั้นแม่ของฉันก็วิ่งเข้ามาในห้องแล้วกอดฉัน เธอเริ่มร้องไห้แม่บอกฉันว่า “พ่อไม่อยู่แล้ว” โอ้ว! พระเจ้า ฉันจำได้ว่าฉันเป็นคนที่ทำให้พ่อต้องละสายตาจากถนนและนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราประสบอุบัติเหตุ ฉันเริ่มร้องไห้แล้วก็ถามว่า “แล้วน้องสาวตัวน้อยของฉันล่ะ” แม่บอกว่า “หมอพยายามถึง 2 วันเพื่อยื้อชีวิตเธอแต่เธออ่อนแอเกินกว่าจะรอดจากอุบัติเหตุ” มันทำให้หัวใจแม่แหลกสลายฉันนึกไม่ออกเลยว่าเธอจะเศร้าโศกแค่ไหน
ฉันเริ่มรู้สึกเสียใจที่ฉันรอดชีวิตมาได้แต่ว่าพ่อกับน้องสาวต้องเสียชีวิต และนั้นมันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันไม่รู้จะบอกแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะเก็บไว้เป็นความลับเพราะฉันไม่อยากทำให้เธอผิดหวังอีก ฉันจึงเขียนทุกอย่างในไดอารี่ของฉันเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าความโกรธมันทำให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้บ้างหลังจากนั้นก็มีการจัดงานศพและฉันก็พักฟื้นจากอาการบาดเจ็บมันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆ เราเศร้าเสียใจอยู่ 1 ปี และเราเพิ่งเริ่มที่จะเอาชนะมันได้ว่า
แล้วตอนนี้แม่ก็ได้มาอ่านไดอารี่บ้าบอเนี่ย ตอนนี้ฉันต้องเข้าไปคุยกับแม่แต่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันควรจะพูดอะไร ฉันเข้าไปในห้องของเธอและเธอยังคงร้องไห้อยู่ แต่แทนที่จะต่อว่าฉัน เธอกลับโผเข้ามากอดฉันแล้วก็ลืมขอโทษ ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจากนั้นเธอก็บอกว่า เธอมีบางอย่างที่อยากจะสารภาพ ปีที่แล้วทุกอย่างมันยากกับเราทุกคนมันเป็นภาระที่หนักที่จะดูแลเด็ก
แถมเราก็ยังไม่ค่อยมีเงินมากนักจากนั้นแม่ก็เห็นโอกาสที่ดีเจ้านายของเธอขอให้เธอออกไปข้างนอกกับเขาแม่คิดว่านั่นมันอาจเป็นโอกาสที่เธอจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งก็เลยตอบตกลง และในคืนนั้นที่เธอไม่มารับฉันก็เพราะว่าเธออยู่กับเขาที่ร้านอาหาร และสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าแค่เพียงแค่เธอตอบไปว่าไม่ จากนั้นเธอจะมารับฉันและพ่อก็จะได้อยู่บ้านกับน้อง โอ้! พระเจ้าไม่ได้คาดคิดว่าฉันจะได้ยินอะไรแบบนั้นเลย มันจะดีกว่าถ้าไม่ต้องได้รับรู้มัน
เพราะมันกลายเป็นว่าเราทั้งสอง ทำร้ายครอบครัวของเราเองแล้วเราทั้งคู่ก็เก็บมันเอาไว้ฉันยังไม่รู้เลยว่าเราจะต้องทำอะไรต่อไปนับจากนี้ บาดแผลยังไม่สามารถเยียวยาได้อย่างง่ายดายสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการจำไว้เป็นบทเรียนแล้วก็ต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
คุณมีน้องสาวหรือน้องชายบ้างไหม คุณรู้สึกอิจฉาพวกเขาบ้างหรือเปล่า บอกให้เรารู้ในช่องคอมเมนต์แล้วก็อย่าลืมเรื่องแบบนี้ให้กับเพื่อนๆของคุณ