สมองของผมกำลังตายอย่างช้า ๆ ผมมีเวลาเหลืออยู่อีกหนึ่งปี
ไงทุกคนผมชื่อ “เดฟ” เรื่องของผมเป็นเรื่องเศร้าแล้วผมหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดกับพวกคุณคนไหนเลยแต่นี่คือตัวอย่างของการที่คนคนหนึ่งจะผ่านพ้นช่วงเวลา 5 ขั้นของความโศกเศร้ามาได้อย่างไรแล้วผมจะบอกคุณว่าผมรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไรอย่างที่มักเกิดขึ้นนั่นแหละทุกอย่างเริ่มต้นที่ช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุดในชีวิตผมเลยผมพึ่งอายุครบ 16 ปีผมมีแม่ผู้เป็นที่รักซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในโลกของผมและแฟนสาวแสนสวยแล้วจากนั้นผมก็เริ่มมีอาการปวดศีรษะไม่มีอะไรผิดแปลกจากปกติเลยถูกไหมผมคิดว่านั่นเป็นเพราะสภาพอากาศหรือไม่ก็นอนไม่พอดังนั้นผมก็เลยกินแค่ยาแก้ปวดและสนใจแต่เรื่องต่างๆในชีวิตผมอย่างเดียว
แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ผมก็เริ่มมีอาการวิงเวียนที่ทำให้เจ็บปวดมากขึ้นผมแค่นอนอยู่บนเตียงเฉยๆแต่รู้สึกเหมือนถูกเขย่าไปมาเหมือนอยู่บนเรือที่เผชิญพายุหรืออะไรทำนองนั้นเห็นได้ชัดว่าผมต้องไปหาหมอเมื่อถึงตอนที่นัดพบหมอเขาตรวจผมแล้วบอกว่าพวกเขาต้องทำ MRI สมองของผมเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่มีอาการแบบผมหลังจากการทดสอบแล้วรอผลการตรวจที่โถงทางเดินผมเห็นว่าแม่ของผมวิตกกังวลอย่างมากในตามีน้ำเอ่อคอผมสับสนนิดหน่อยแต่แม่ผมเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายปีที่แล้วพ่อผมต้องเข้ารับการผ่าตัดและเขาก็ต้องต่อสู้กับโรคร้ายหมอบอกว่าพ่อผมมีเวลาในชีวิตเหลืออีกเพียงแค่ 2 ปีและเขาต้องการเหลือบางสิ่งบางอย่างทิ้งไว้ปีถัดมาผมจึงถือกำเนิดและหลังจากนั้น 1 ปีพ่อก็เสียชีวิต แม่ผมเคยบอกว่าผมเหมือนพ่อมากแต่ผมจำเขาไม่ได้เลย เฮ้อ…เรื่องนี้ไม่ได้ทำอะไรๆให้ง่ายขึ้นเลยผมอยากทำให้แม่รู้สึกดีขึ้นแล้วบอกแม่ว่าผมไม่มีทางเป็นมะเร็งแล้วเราจะได้รู้แน่ๆอีกไม่นานนี้เอง แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด
หมอเรียกเราเข้าไปคุยแล้วเรามีข่าวร้ายอย่างมากเขาเอารูปสมองให้ผมดูแล้วชี้ให้ดูจุดเล็กๆที่สว่างจุดหนึ่งเขาบอกว่านั่นเป็นเนื้องอกจากนั้นหมอจึงถามผมว่ามีใครในครอบครัวคนไหนเป็นมะเร็งแบบนี้ไหมเพราะผมมีแนวโน้มจะเป็นเช่นกันและเนื้องอกนี้อาจเป็นอันตรายได้ตอนนี้มันมีขนาดเล็กมากและต้องได้รับการผ่าตัดออกไม่นานหลังจากนั้นก็จะดีขึ้น แต่ผมสาบานกับพวกคุณได้เลยผมมองไม่เห็นอะไรสักนิดดังนั้นก็เลยปฏิเสธที่จะเชื่อว่าผมเป็นมะเร็งจุดที่ว่านี้เล็กมากซะจนหมออาจจะสับสนกับอะไรก็ได้ในตอนนั้นทุกอย่างชัดเจนอย่างมากสำหรับผมหมอคนนี้วินิจฉัยผิดแล้วเราก็แค่ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลอื่นแล้วพวกเขาก็จะให้ยาแก้ปวดไมเกรนกับผม แม่ผมขอร้องให้ผมเริ่มทำการรักษาให้เร็วกว่านี้ก็ผมโตพอที่จะตัดสินใจเองได้แล้วหลังผ่านไปอีก 2 สัปดาห์ที่ผมเอาแต่ทานยาแก้ปวดและพยายามโน้มน้าวให้แม่เชื่อว่าผมดีขึ้นเพื่อที่แม่จะได้ไม่ต้องกังวล แต่พอถึงจุดหนึ่งผมก็สังเกตเห็นว่าสายตาของผมย่ำแย่ลงแล้วผมก็เริ่มกลัว
ดูเหมือนหมอจะพูดถูกผมทำ MRI อีกครั้งแล้วตอนนี้ก็เห็นชัดแล้วเนื้องอกในสมองของผมไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมเป็นมะเร็งสมองแน่แล้วนี่จึงเป็นการสิ้นสุดการทำใจยอมรับความจริงขั้นแรกนั่นคือเลิกปฏิเสธแล้วอะไรๆก็เริ่มเลวร้ายยิ่งขึ้นโรงพยาบาลกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของผม ผมไม่อยากยอมรับคำวินิจฉัยแล้วโมโหกับทุกสิ่งทุกอย่างหมอในเสื้อกาวน์สีขาวการตรวจที่ยาวนานไม่มีสิ้นสุดอาหารโรงพยาบาลแล้วห้องของผมซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในคุกยิ่งกว่านั้นผมโกรธที่คนอื่นๆแสดงความเวทนาต่อผมเพื่อนและแฟนผมเคยมาเยี่ยมด้วยใบหน้าเศร้าๆและพยายามจะบอกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีแม่เอาแต่จับมือผมไว้แล้วร้องไห้ผมเหนื่อยล้าและหน่ายกับเรื่องนี้มากทำไมต้องเป็นผมด้วยทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับผมมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมนั่นคือสิ่งที่ผมได้รับสืบทอดจากพ่อเหรอมะเร็งในสมองเนี่ยนะตอนนี้ผมอยู่ในโรงพยาบาลเพราะพ่อแม่ของผมตัดสินใจมีลูกที่จะมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็ง ผมโทษแม่ของผมตะโกนใส่แม่แล้วไล่แม่ออกจากห้องผมไม่เคยรู้สึกโกรธอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิตผมคิดว่าการอยู่คนเดียวคงทำให้อะไรๆ ดีกว่านี้
แต่พวกเขาไม่อยากทิ้งผมไปพอผมต้องรับน้ำเกลือตัวแทนของเพื่อนทั้งชั้นก็มาเยี่ยมผมและแน่นอนพวกเขาเริ่มพูดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากแค่ไหนที่จะต้องใช้เวลากับคนที่คุณรักและแม่ของผมก็ควรอยู่เคียงข้างผมบลาๆๆ ทุกคำยิ่งทำให้ผมโกรธพวกเขาไม่เข้าใจหรือไงผมกำลังจะตายแล้วพวกเขาก็ยังพยายามบอกผมอีกเหรอว่าผมควรทำอะไรผมตะโกนใส่พวกเขาและสั่งให้ไปให้พ้นแต่พวกเขาปฏิเสธบอกว่าผมต้องการกำลังใจจากครอบครัวถึงตอนนี้ผมจะยังไม่เข้าใจก็ตามจากนั้นผมไม่ตะโกนไปว่าถ้าพวกนายไม่ปล่อยฉันไว้อยู่คนเดียวฉันจะไปเองก็ได้แล้วผมก็ดึงสายน้ำเกลือออกจากมือแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก่อนที่ผมจะเดินไปถึงประตูหัวของผมก็เริ่มหมุนติ้วแล้วดวงตาเริ่มมืดดับลง วินาทีต่อมาผมก็หมดสติไปนี่คือขั้นของความโกรธเกรี้ยวขั้นนี้อันตรายมากเพราะผมอาจทำร้ายตัวเองและคนอื่นด้วยความโกรธได้
ผมตื่นขึ้นมาแล้วสิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าหวาดกลัวของเพื่อนๆผมก็กลัวแล้วเริ่มร้องไห้ความคิดอย่างที่อยู่ในหัวผมคือผมไม่อยากตายเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกลัวแล้วพูดคำนั้นซ้ำๆ เหมือนกับคำภาวนาว่าผมไม่อยากตายหลังจะผ่านไปอีกหลายวันผมก็พร้อมเข้ารับการผ่าตัดผมไม่อยากทำให้คุณกลัวนะดังนั้นจึงไม่ขอลงรายละเอียดและกันแต่สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก็คือการผ่าตัดไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาโดยสมบูรณ์เพราะก่อนหน้านั้นตอนที่ผมไปพบหมอแล้วปฏิเสธที่จะเชื่อพวกเขา มะเร็งจึงมีเวลาเติบโตไปมากขึ้นและโดยหลักๆแล้วการผ่าตัดช่วยซื้อเวลาให้ผมเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยตามที่หมอบอกผมจะอยู่ได้อีก 2 หรือ 3 ปีใช่เลยตอนนี้ผมรู้วันหมดอายุของตัวเองแล้วแต่ผมก็ไม่ได้คิดจะอดทนรออยู่เฉยๆให้ถึงวันนั้น
หลังออกจากโรงพยาบาลผมใช้เวลาวันแล้ววันเล่าอยู่กับอินเตอร์เน็ตอ่านเรื่องราวของคนที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบเดียวกับผมและได้รู้ว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่อยู่ได้นานกว่า 3 ปีบางคนถึงกับฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ในการค้นหาของผม ผมมาเจอบทความหนึ่งเกี่ยวกับผู้ชายที่เอาชนะโรคมะเร็งได้แล้วผู้ชายคนนี้ยังตีพิมพ์หนังสือออกมามากมายอยู่กับการต่อสู้กับโรคมะเร็งและเรื่องที่ว่าศาสนาช่วยเขาได้มากขนาดไหนผมอ่านทั้งหมดนั่นมันน่าทึ่งที่เขาเอาชนะโรคร้ายได้ด้วยการปฏิบัติกิจทางจิตวิทยาและตอนนี้ก็เดินทางไปรอบโลกเพื่อสอนเรื่องนี้กับคนอื่นๆ ผมคิดว่านี่คือโอกาสของผมไม่นานหลังจากนั้นเขาจะมาจัดสัมมนาในเมืองใกล้ๆ แต่เมื่อผมบอกแม่เรื่องนี้แม่ไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นไปกับผมด้วยอันที่จริงเป็นไปในทางตรงกันข้ามด้วยซ้ำแม่กลัวและเริ่มเป็นกังวลแม่กลัวว่าผมจะเข้าไปพัวพันกับลัทธิอะไรสักอย่างแต่ผมพยายามบอกให้แม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้ไม่เป็นอะไรเลยแล้วผมต้องการทำอย่างนั้นจริงๆ แม่จึงตกลงให้ผมไปด้วยเงื่อนไขเดียวแม่จะไปกับผมด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการสัมมนาครั้งนี้จริงๆ
เราไปถึงที่จัดงานปรากฏว่าที่นั่นเป็นโรงยิมหรืออะไรสักอย่างที่พวกเขาติดตั้งเวทีและตั้งเก้าอี้เอาไว้คนที่มาฟังไปด้วยคนท่าทางประหลาดไม่นานผู้บรรยายก็ขึ้นมาบนเวทีเป็นเวลาเกือบชั่วโมงที่เขาพูดถึงโรคทางจิตวิญญาณของมนุษย์และการที่วัตถุเข้าไปแทรกแซงการเติบโตทางจิตวิญญาณอย่างไรบ้างแต่แล้วเขาก็บอกว่าตอนนี้เขาจะแสดงให้ผู้ชมเห็นว่าทุกสิ่งทำงานอย่างไรมีเด็กผู้ชายบนรถเข็นปรากฏตัวขึ้นบนเวทีและผู้บรรยายก็บอกว่าเขาจะทำให้เด็กชายเดินได้ด้วยพลังของความมุ่งมั่นตอนนั้นเกิดความเงียบอยู่ชั่วอึดใจผู้บรรยายมองไปที่เด็กชายครู่หนึ่งและทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วเริ่มเดิน ฝูงชนปรบมือเสียงกึกก้องพวกเขาพิศวงกับสิ่งที่เห็นแล้วยังเริ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปยังเป็นเวทีตอนนั้นทุกอย่างโกลาหลอย่างสมบูรณ์ แม่ผมได้จับมือผมแล้วนี่พาผมไปที่ทางออก ผมถามแม่ว่าเราออกมาทำไมแม่จึงบอกว่าลูกไม่เห็นเหรอผู้ชายคนนี้เป็นนักต้มตุ๋นแต่ถ้างั้นทำไมแม่ให้ผมมาล่ะผมถามจากนั้นแม่ก็อธิบายทุกอย่างให้ผมฟัง
แม่บอกว่าแม่อยากให้ผมเห็นด้วยตาของตัวเองผมมีความหวังที่จะหายเป็นปกติและความหวังนี้ก็อาจถูกคนอื่นนำมาใช้บงการหรือหาผลประโยชน์ได้แล้วผมก็รู้ว่าแม่พูดถูก หมายถึงผมพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อที่จะยืดเวลาในชีวิตของตัวเองอย่างน้อยวันหนึ่งนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมขั้นของการหาทางรอดนี้จะเป็นขั้นที่อันตราย คุณอาจมีความหวังลมลมแล้งแล้งที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและทำให้ตัวเองหรือแม้แต่คนอื่นเป็นอันตรายยิ่งกว่าเดิมหรือสูญเสียสิ่งที่เคยมีอยู่ไปดังนั้นผมก็แค่ต้องใช้เหตุผลและยอมรับในชะตากรรมของตนหลังจากตระหนักว่าผมไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้วเวลา 3 ปีคือทั้งหมดที่ผมเหลืออยู่ภาวะซึมเศร้าอันหนักอึ้งก็เข้าจู่โจมผมเหมือนอีกหลายพันก้อนผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เพื่ออะไรล่ะมีเหตุผลอะไรเหรอผมไม่อาจมีชีวิตแบบนักศึกษา ไม่อาจเดินทางไปไหน ไม่อาจมีครอบครัวระหว่างช่วงกลางวันแฟนของผมพยายามทำให้ผมร่าเริงขึ้นแล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นแต่พอตกกลางคืนผมก็จะมีอาการนอนไม่หลับแล้วจมดิ่งอยู่กับความคิดแง่ลบของตัวเองผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับความตายและดูหนังเศร้า
แล้วคืนหนึ่งผมก็สังเกตุเห็นบางสิ่งในหนังสือและหนังที่ผมดูตัวเอกมักไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลเหมือนอย่างในเรื่อง The bucket List หรือ Nothing on Heaven Door แล้วผมก็เกิดความคิดว่าบ้าๆว่ายากลุกขึ้นมาขับรถออกไปทะเลกับแฟนผมตอนนี้เลยการเดินทางอาจใช้เวลามากสุด 2 ชั่วโมงเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแล้วจากนั้นเราก็จะกลับมาบ้านในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นผมไม่เคยทำอะไรโรแมนติกแบบนี้มานานแล้วก็เลยอยากเซอร์ไพรส์ “ลิลลี่” ผมเอารถแม่ไปแล้วขับไปที่บ้าน “ลิลลี่” เธอตื่นขึ้นมาผมไปที่หน้าต่างห้องเธอแล้วเคาะเรียกตอนแรกเธอก็กลัว แต่เมื่อเห็นผมก็ยิ้มร่าทันทีผมบอกว่าผมมีเซอร์ไพรส์ที่อยากทำให้และเธออีกไม่กี่นาทีถัดมาเราก็กำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังชายหาดนอกจากเรื่องที่ว่านี่เป็นไอเดียที่บ้าบอและประหลาดแล้ว “ลิลลี่” มีความสุขที่เดียวเธอบอกว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมดูมีชีวิตชีวา
เราขับไปจนถึงชายหาดและคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กันไม่นาน “ลิลลี่” ก็พล้อยหลับไปแล้วผมยังคงขับรถต่อผมยังคงมองไปที่เส้นสีขาวกลางถนนที่ดูเหมือนไร้ที่สิ้นสุดเส้นเหล่านั้นเหมือนสะกดจิตผมให้เคลิ้มไปแล้วไม่นานตาของผมก็เริ่มปิดผมจำไม่ได้ว่าผมหมดสติไปตอนไหนแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแตรรถและเสียงกรีดร้องของ “ลิลลี่” ผมลืมตาขึ้นมาเห็นไฟขนาดใหญ่ 2 ดวงกำลังพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วเรากำลังจะชนเข้ากับรถที่วิ่งตรงมาผมแทบไม่มีเวลาหักพวงมาลัยแล้วออกด้านข้างและเหยียบเบรค “ลิลลี่” กลัวมากเราทั้งคู่อาจตายไปแล้วก็ได้ผมกอดเธอแน่นและบอกด้วยความตื่นตระหนกว่าผมขอโทษผมวูบไปผมขอโทษจริงๆเราทั้งคู่หายใจไม่เป็นจังหวะด้วยความกลัวหลังจากเรื่องนี้ก็ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์โรแมนติกอีกต่อไปผมพา “ลิลลี่” ไปส่งบ้านแล้วเอารถแม่ไปจอดในโรงรถแล้วไม่อาจข่มตาหลับได้อยู่นานมือของผมยังสั่นอยู่เลย
ความคิดหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัวผม ผมพร้อมจะตายแล้วแต่ผมคงไม่อยากยกโทษให้ตัวเองได้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับ “ลิลลี่” แล้วแม่ผมหรือพวกเพื่อนๆจะรู้สึกยังไงตอนนั้นเองบางทีอาจเป็นตอนที่ผมเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายขั้นของการยอมรับความจริงใช้มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากผมก็ยังคงรอวันตายอยู่ดีแต่ผมรู้แล้วว่าผมจะมีอะไรบางอย่างให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยชีวิตของผมไม่ได้เป็นแค่ของผมคนเดียวก็ยังเป็นของคนที่ผมรักเช่นกันพวกเขาให้กำลังใจผมอยู่ตลอดกระทั้งตอนที่ผมคิดว่าผมไม่ต้องการพวกเขาแต่สิ่งเดียวที่ทำให้ผมมาได้ไกลขนาดนี้ก็เพราะพวกเขาตอนที่เขายอมรับความจริงที่ว่าผมกำลังจะตายได้แล้วดังนั้นไม่ว่าผมจะเหลือเวลาอีกนานแค่ไหนผมจะอุทิศเวลาที่เหลือนี้ให้เพื่อนของผม แฟนของผม และแม่ของผม
ผมหวังว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดกับพวกคุณคนไหนเลยแบ่งปันวิดีโอนี้ให้ครอบครัวและเพื่อนของคุณและขอให้อดทนและเห็นอกเห็นใจคนที่คุณรักอยู่เสมอนะครับ