พ่อแม่ของฉันให้ฉันกินขยะจากถังขยะ
สวัสดี ชื่อ “โอฟิเรีย” อายุ 15 ปีอาศัยอยู่ที่นิวยอร์กเรื่องราวที่คุณกำลังจะได้ยินอาจจะดูแปลกๆแล้วก็น่าขยะแขยงนิดหน่อยแต่ฉันแน่ใจว่าพวกคุณบางคนจะเข้าใจสิ่งที่ฉันได้ประสบเรื่องของเรื่องก็คือพ่อแม่ของฉันให้พวกเรากินของที่อยู่ในถังขยะอาหารส่วนใหญ่ที่เรากินและสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมาจากที่ทิ้งขยะใช่คุณเข้าใจถูกละโดยใช้ของที่ถูกทิ้งและเราก็กินมันด้วยฉันคงจะพูดข้ามไปหน่อยแต่มันเป็นไปความหลักและเรื่องนี้ก็ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว พวกเราเอาไม่ใช่คนไร้บ้านหรือในทำนองนั้นหรอกนะเราไม่ได้จนด้วยซ้ำแต่เราก็ไม่ได้รวยเราอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ในบรู๊คลินและที่ฉันพูดว่าเราเนี่ยฉันหมายถึงพ่อแม่ของฉัน “จีน่า” กับ “ไมค์” “ไดเร็ค” น้องชายของฉันแล้วก็ตัวฉันและเพื่อให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ฉันต้องเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับพ่อแม่ของฉันก่อน
พวกเขาทั้งคู่ได้เป็นศิลปินสร้างผลงานตั้งแต่วาดภาพไปจนถึงศิลปะการแสดงบางครั้งพวกเขาก็จะเปิดทำการแสดงเพื่อหารายได้แต่โดยทั่วไปชีวิตของพวกเขาก็วนเวียนอยู่กับศิลปะเป็นส่วนใหญ่แม่โตขึ้นมาในครอบครัวที่นิวยอร์กที่รวยมากและสามารถซื้อทุกอย่างได้แต่น่าเสียดายที่นั่นแหละสิ่งที่ทำให้แม่เป็นแม่ในตอนนี้พ่อแม่ยังมีความสนใจทั้งในทางสังคมและการเมืองด้วยฉันยังจำได้เลยว่าเคยไปชุมนุมแล้วก็ประท้วงกับพวกเขาตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กและฉันบอกได้เลยว่าพ่อแม่จริงจังในการทำให้โลกของเราดีขึ้นไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตามกิจกรรมที่สำคัญมากของพวกเขาก็คือฟรีแก้นฉันไม่อยากจะทำให้คุณเบื่อด้วยคำศัพท์หรือหลักการอะไรหรอกนะเอาสั้นๆละกันฟรีแก้นคือการไม่สนับสนุนลัทธิบริโภคนิยมและการผลิตสินค้าที่มากเกินไปด้วยกันที่ซื้อของพวกนั้นและใช่แย่หน่อยที่นั่นรวมไปถึงการหาอาหารที่ยังกินได้อยู่ในที่อย่างที่ทิ้งขยะแต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขากระโดดลงไปในถังขยะเพื่อหาเปลือกส้มหรือโยเกิร์ตเหลือๆ หรอกนะมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นพวกเราคงตายไปแล้วถ้าเกิดเป็นอย่างนั้น
แต่มันเป็นการเอาอาหารที่ถูกทิ้งจาก ซุปเปอร์มาเก็ต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ยังไม่หมดอายุหลักการคือการไม่ซื้อพ่อแม่ของฉันไม่สนับสนุนบริษัทพวกนี้ที่มันจะผลิตมากเกินจำเป็นและผลที่ได้ก็คือสิ้นเปลืองทรัพยากรอันมีค่าแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนในครอบครัวของเราจะเป็นอย่างพ่อแม่ของฉันยิ่งไปกว่านั้นไม่มีญาติคนไหนเข้าใจพวกเขาแล้วก็คิดว่าเขาเป็นบ้า “ลิลลี่” นี่คุณป้าของฉันพี่สาวของแม่ก็มักจะทะเลาะกับแม่เป็นประจำเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องฟรีแก้นของแม่แล้วป้าบอก “ไดเร็ค” กับฉันหลายครั้งว่าถ้าพวกเรารู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่แบบนี้บ้านเธอก็ยินดีต้อนรับพวกเราเสมอแต่ทุกครั้งเราก็เลือกที่จะอยู่กับพ่อแม่ส่วนใหญ่พ่อแม่จะออกไปหาอาหารด้วยตัวเองมีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นแหละที่พวกเราจะต้องออกไปด้วยแค่พูดให้เข้าใจนะในแง่อื่นแล้วก็เป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไปเราอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ที่พ่อแม่ของแม่ทิ้งไว้ให้ฉันไปโรงเรียนปกติธรรมดาแล้วก็ได้เงินค่าขนมด้วยที่โรงเรียนเป็นที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นฉันมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อ “บิว” และเขานิสัยแย่มากๆเขาอยู่ห่างออกไปไม่กี่บล็อกจากเราแต่โชคดีที่ครอบครัวของเรายังไม่เคยเจอกัน
วันหนึ่งเขามาที่โรงเรียนแล้วบอกทุกคนว่าเขาเห็นพ่อแม่ของฉันที่ๆทิ้งขยะใกล้บ้านของเขาและอย่างที่คุณรู้มันคงเป็นเรื่องจริงแต่ไงล่ะฉันอายแล้วก็ปฏิเสธทุกอย่างแล้วเริ่มพูดว่าเขาน่าจะจำผิดอะไรแบบนั้นแต่มันก็ไม่ได้หยุดเขาเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ที่ฉันได้ยินเรื่องตลกว่าครอบครัวของฉันใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยของจากที่ทิ้งขยะเมื่อผ่านไป 1 เดือนเรื่องที่ทิ้งขยะทั้งหมดก็ถูกลืมไปและทุกอย่างกลับไปเป็นปกติอีกครั้งจนกระทั่งวันนี้มันเริ่มจากเก้าอี้นวมของเราหากไม่มีชิ้นดีแล้วเราต้องการตัวเองรวมตัวใหม่ อืม…ก็ไม่ใช่ว่าใหม่หรอกนะแต่คุณก็เข้าใจนะว่านึงเพราะแม่กลับบ้านแล้วบอกว่าพวกเขาเจอเก้าอี้นวมดีๆที่มีคนทิ้งเพราะมันเก่าเพราะแม่รู้ตื่นเต้นฉันคิดว่าฉันยังไม่ได้บอกคุณสินะว่าพวกเขาเริ่มมองกันออกไปหาของเล่นเหมือนกับเกมแล้วพ่อกับแม่ต้องให้ฉันช่วยยกเก้าอี้นวมจากที่ทิ้งขยะเพราะว่ามันหนักจริงๆฉันไม่อยากไปหรอกแต่มันก็คงใช้เวลาไม่นานมั้งลองคิดดูว่าฉันจะตกใจขนาดไหนเมื่อฉันเห็นว่าเก้าอี้นมตัวใหญ่อยู่ในที่จริงก็อยากได้บ้านของ “บิว” โอเคใจเย็นบอกตัวเองมันใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีไม่ใช่ว่ามันจะเกิดอะไรและในทันทีที่พวกเรายกเก้าอี้นวมขึ้นจากพื้นห่างออกไปไม่กี่เมตรจากที่ทิ้งขยะ “บิว” ก็เดินออกมาจากบ้านของเขาฉันพยายามจะปิดหน้าตัวอย่างสิ้นหวัง แต่ “บิว” เห็นฉัน
เค้าเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วก็เริ่มถ่ายคลิปมันจบไม่ดีแน่ๆ วันต่อมาที่โรงเรียนน่ะเป็นเหมือนฝันร้ายเลย สัปดาห์ต่อมาทุกคนในชั้นเรียนก็ได้ดูคลิปและสิ่งที่เพื่อนร่วมชั้นพูดก็ไม่ได้เป็นแค่เรื่องตลกอีกต่อไปฉันถูกล้อเล่นเลียนอย่างจริงจังฉันร้องไห้ทุกคืนแล้วก็ตะโกนใส่พ่อแม่ที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้แต่พวกเขาก็แค่บอกว่าคนพวกนั้นจะเข้าใจในอีก 50 ปีตอนที่ลัทธิบริโภคนิยมได้หมดสิ้นลงแทบไม่ต้องพูดเลยว่ามันไม่ช่วยอะไรเลยพวกเขาไม่เข้าใจว่าฉันเศร้าเรื่องอะไรและเพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นฉันก็เลยเริ่มตั้งคำถามถึงวิถีชีวิตที่เราใช้อยู่ในหลายปีมานี้และฉันก็ตระหนักว่าฉันไม่มีปัญหากับการซื้อเหมือนอย่างมนุษย์ปกติทั่วไปฉันอยากจะเลือกได้ว่าจะกินอะไรก็ใส่อะไรและลัทธิบริโภคนิยมก็ไม่ได้ทำให้ฉันกังวลใจมากเท่าไหร่เลยขณะเดียวกันเพื่อนร่วมชั้นของฉันก็ยิ่งเอาใหญ่แล้วมันก็เริ่มจะมากเกินไปละ
วันนึงฉันออกจากห้องเรียนไปเข้าห้องน้ำระหว่างพักและพอฉันกลับมาก็เห็นว่าโต๊ะเก้าอี้กระเป๋าหนังสือทุกอย่างเต็มไปด้วยขยะถังขยะเพื่อนร่วมชั้นทุกคนหัวเราะ ฉันน้ำตาไหลหยิบของแล้วก็วิ่งออกจากห้องเรียนไปเลยครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นฉันไปรับไปไว้ที่โรงเรียนแล้วไปที่บ้านของป้า “ลิลลี่” ฉันทนใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วเราอยู่ที่บ้านป้า “ลิลลี่” ประมาณ 1 เดือนฉันไม่ได้ไปโรงเรียนและผู้ที่ทำเรื่องขยะพวกนั้นกับฉันก็โดนทำโทษอย่างหนักส่วน “บิล” เป็นคนที่โดนหนักที่สุดพ่อแม่ของฉันเสียใจมากที่พูดเอาทิ้งไปแต่พวกเขาก็เป็นคนมีความตั้งใจจริงแล้วจะไม่ล้มเลิกอุดมการณ์ของตัวเองด้วยเหมือนกันถึงแม้ว่าป้า “ลิลลี่” จะอยากให้พวกเราอยู่กับป้าไปตลอดแต่เราก็ต้องประนีประนอมสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนกับการเจรจาต่อรองได้ 1 เดือนนั้นเราตกลงกันว่าเราจะอยู่กับพ่อแม่ 1 สัปดาห์แล้วก็ป้า “ลิลลี่” 1 สัปดาห์แล้วก็วนไปแบบนี้และที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์ที่เราไปอยู่กับพ่อแม่พวกเขาจะต้องหยุดเป็นฟรีแก้นแล้วใช้ชีวิตเหมือนครอบครัวปกติส่วนตอนที่พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยเนี่ยพวกเขาจะต่อสู้กับลัทธิบริโภคนิยมได้เท่าที่ต้องการเลยนี่ก็ 3 วันแล้วตั้งแต่พวกเราย้ายกลับมาแล้วฉันบอกได้เลยว่าอะไรอะไรมันก็ดีขึ้นจริงนี่คือเรื่อง
ของฉันขอบคุณที่รับชมนะ ถ้าพ่อแม่ของคุณทำอย่างที่คุณไม่เห็นด้วยแชร์เรื่องราวของคุณในช่องคอมเม้นต์หน่อยแล้วอย่าลืมกดไลค์และกดติดตามด้วยล่ะ