พ่อของผมตัดสินใจลองทำทุกอย่างในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
ไงทุกคนผมชื่อ “สแตนลี่” และนี่คือพ่อของผม ไม่นานมานี้เราต้องเศร้านิดหน่อยเพราะเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำนู่นทำนี่ที่ท้าทายผมไม่ต่อไป
สำหรับคุณอยากฟังดูแปลกสักหน่อยแต่ครั้งหนึ่งผมเกือบต้องสูญเสียพ่อและมันทำให้ผมกลัวแทบตายนี่คือเรื่องราวของผมตอนที่ผมเกิด พ่อของผมอายุ 50 ปีแล้ว ผมเป็นเหมือนลูกที่เขารอคอยมานานปีซึ่งบางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงต้องสนใจอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผมจนเกินเหตุอยู่เรื่อย
อย่างเช่นตอนผมยังเด็กพ่อผมใช้เวลาอยู่กับผมมากยิ่งกว่าอยู่กับแม่ซะอีก เขาเป็นคนสอนผม เดิน พูด อ่านหนังสือ ขี่จักรยาน และอะไรอีกมากมาย และผมก็มีความสุขที่มีพ่ออยู่ใกล้ๆ แต่ขณะที่ผมโตขึ้นการให้ความสนใจของเขาก็กลายมาเป็นเรื่องรำคาญใจอย่างสุดๆ อย่างเวลาที่เพื่อนมาเล่นเกมกับผมที่บ้านพ่อของผมก็จะมาเล่นกับเราด้วย
หรือเวลาที่เราเตรียมตัวไปร่วมประกวดแข่งขันสเก็ตบอร์ด พ่อก็จะซื้อสเก็ตบอร์ดของตัวเองมาและขอให้ผมสอนวิธีเล่นให้กับเขา ตอนแรกเพื่อนผมบอกว่าพวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วนที่พ่อผมเอาแต่ใช้เวลาอยู่กับเรา แต่เมื่อพ่อเริ่มใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกับผม ทุกคนที่โรงเรียนก็ล้อเลียนผมเรียกผมว่าลูกชายคนประหลาด
แน่ละว่าผมต้องรู้สึกอายครั้งหนึ่งผมพยายามอธิบายให้พ่อฟังว่าผมไม่อยากให้เขาทำตัวแบบนั้น แต่บางทีผมคงเลือกช่วงเวลาพูดกับเขาได้ไม่ดีนัก ตอนนั้นเลยหัวค่ำเข้ามาแล้วแล้วผมก็กำลังจะไปหาเพื่อนสายผม กำลังรีบร้อนในตอนที่มาเจอพ่อผมเล่นบาส อยู่ในสวนหลังบ้านของเรา ผมอยากขอยืมรถพ่อเพื่อที่จะได้ไปหาเพื่อนได้เร็วขึ้น แต่พ่อบอกว่าจะให้ยืมก็ต่อเมื่อผมชนะเขาได้แบบเล่นกันสั้นๆ น่ะ ผมจำเป็นต้องใช้รถจริงๆ ก็เลยตอบตกลงแล้วเพราะว่าผมกำลังรีบก็เลยแพ้พ่อ 2 แต้มในนาทีแรก
พ่อบอกว่าเสียใจด้วยแต่ในเมื่อผมไม่ชนะผมก็เอารถไปไม่ได้ สารภาพตรงๆ ผมไม่ได้อยากตะโกนใส่พ่อแต่เรื่องทั้งหมดนี้ กับความรู้สึกที่เขาอยากเป็นเพื่อนผมแล้วมุกตลกโง่เง่าที่ไม่มีสิ้นสุดของพ่อ ในที่สุดก็ทำให้ผมหมดความอดทน ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าผมพูดอะไรออกไปบ้าง
แต่แน่นอนว่าต้องเป็นอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นการต่อว่าเขา แล้วจากนั้นผมก็รีบออกไปหาเพื่อน ผมโกรธมากจริงๆ และยังหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับพ่อในอีกหลายวันถัดมา หลายครั้งหลายหนที่ผมคิดว่าผมควรขอโทษ แต่ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่าผมทำถูกแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต่างก็มีเหตุผลของมันก็มีเหตุผลของมันถูกไหม
แต่หนึ่งแม่ก็มาเคาะประตูของผมแล้วบอกว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน แล้วกันคุยกันหนนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดในโลกเพราะแม่ของผมอธิบายให้ฟังทั้งหมดว่าทำไม แม่บอกผมว่าพ่อเป็นมะเร็งและเขารู้ว่าตัวเองจะต้องตายในไม่ช้า บางทีอาจจะมีเวลาเหลืออีกไม่ถึงปี ดังนั้นเขาอยากใช้เวลาอยู่กับผมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่อยากให้ผมรู้เรื่องอาการป่วย เพราะไม่อยากให้ผมใช้ชีวิตวัยรุ่นด้วยการมานั่งเฝ้าเขา
เพราะเขาไม่สบายแม่บอกผมว่าพวกเขารู้ว่าพ่อป่วยได้หลายเดือนแล้ว และเขาก็ไปรักษามาหลายหนแต่โชคไม่ดีที่ยังคงน่าผิดหวัง นั่นเป็นเหตุผลที่พ่อต้องการที่จะให้ผมจดจำเขาในฐานะผู้ชายสุดเจ๋ง และฉันกระตือรือร้นนั่นคือเขาที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยฟัง แน่นอนผมสัญญากับแม่ว่าจะเก็บเรื่องที่ผมรู้ทุกอย่างแล้วไว้เป็นความลับและทำดีกับพ่อให้มากขึ้น แต่แบบก็เหมือนจะไม่จำเป็นนะ ผมจะต้องดีกับเขาอยู่แล้ว ต่อให้แม่ไม่ขอผมคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดคืนและวันผ่านมาสิ่งแรกที่ผมทำจริงๆ
ก็คือออกปากขอโทษพ่อจากนั้นผมก็เริ่มอดทนกับความพิลึกของเขามากขึ้น แต่ก็ยิ่งกว่าเดิมเพราะตอนนี้ผมคบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเธอชื่อ “เจ๊ส” เราพบกันที่ร้านกาแฟแล้วพอผมเห็นเธอผมคิดว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ผมต้องใช้เวลาถึง 4 วันรวบรวมความกล้าเพื่อไปคุยกับเธอ และยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในเมือง
เมื่อเธอตกลงที่จะคบกับผม แต่ผมก็ทำเดตแรกของเราพังและเดตครั้งที่ 2 ด้วย แล้วผมก็ไม่โผล่หน้าไปเดทครั้งที่ 3 เลย ผมไม่อยากพูดว่าทุกอย่างเป็นเพราะพ่อ แต่เขาก็มีส่วนที่ทำให้เป็นแบบนี้เขาจะต้องการให้ผมทำอะไรสักอย่างในช่วงเวลาผมต้องออกไปเดตแล้วพอคิดถึงอาการป่วยของพ่อผมก็ไม่อยากปฏิเสธการใช้เวลาอยู่กับเขาได้
ดังนั้นเพราะว่าผมทำให้เธอผิดหวังอยู่บ่อยๆ “เจ๊ส” จึงเริ่มเหนื่อยหน่ายที่ผมมาสายตลอดเวลา แล้วก็ทิ้งผมไปผมโศกเศร้าเสียใจมาก เพราะโมโหกับสิ่งที่เกิดขึ้นพอๆ กับโมโหตัวเองที่ทำอะไรเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คนไม่ได้เลยเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของปรากฏออกมาทางสีหน้า เพราะหลังจากนั้นพ่อก็รู้ทันทีว่าความรักของผมไม่ค่อยดี พ่อพยายามจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นและเราก็ออกไปปีนเขากัน คุณรู้มั้ยว่าการอยู่ด้วยกันตามกำพังกับพ่อ 2 คนมันยากจริงๆ ผมหมายถึงผมไม่ได้อยากไป แล้วกำลังเศร้าผมรู้ว่าวันหนึ่งเขาจะต้องจากไป
เพราะฉะนั้นผมเลยพยายามจดจำทุกรายละเอียดของการปีนเขาครั้งนั้นเอาไว้ ตอนหัวค่ำเรานั่งอยู่ข้างกองไฟ ย่างฮอทดอกกินกัน พ่อตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้ผมฟังนี่เป็นการคุยกันอย่างจริงจังระหว่างลูกผู้ชายและ ผมก็รู้สึกเหมือนโตขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องไห้ แต่น้ำตาขณะได้ฟังเรื่องราวก็ไหลออกมาอาบแก้ม ถึงผมจะรู้เรื่องอาการป่วยของพ่ออยู่แล้ว
แต่พอได้ฟังจากปากเขาจริงๆ ก็ยังยากอยู่ดีผมไม่รู้ว่าทำไมแต่ผมไม่สามารถบอกได้ว่าผมรู้ทุกอย่างหมดแล้วถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือผมพูดอะไรไม่ออกพระเจ้าช่วยถึงบทสนทนานี้จะเคยเกิดมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ก็ยังยากที่จะทำใจให้ได้แล้วพ่อก็จบลงด้วยการบอกว่าเขาจะไม่ดึงดันให้ผมใช้เวลากับพ่อผู้เจ็บป่วยและแก่ชราของผมอีกต่อไปแล้ว แต่ตอนนั้นผมรู้สึกอยากอยู่กับเขาจริงๆ แล้วอยากทำให้เขารู้สึกว่าเขาคือพ่อที่เจ๋งที่สุดในโลกและเพื่อนที่สุดตลอดกาลของผม เช้าวันถัดมาเราตกลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบใกล้ๆ แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ความคิดของผม แต่ผมเคยให้คำมั่นไว้แล้วว่า จะให้กำลังใจเขา
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายท้าพ่อบ้าง แต่พอเราไหว้เสร็จทันใดนั้นผมก็สังเกตเห็นว่าอาการของพ่อดูไม่ดีนัก เราต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สติของพ่อค่อยๆ เลือนลางลงไปอย่างช้าๆ ระหว่างที่ผมขับรถและนั่นก็ทำให้ผมหวาดกลัวแทบตาย ตลอดทางผมภาวนากับพระเจ้าเงียบๆ ว่าอย่าเพิ่งพาพ่อของผมไป พอผมไปถึงโรงพยาบาล นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมพึ่งตระหนักว่าผมฝ่ากฏการจราจรและข้อกำหนดในการใช้ความเร็วไปกี่ข้อ
เพื่อช่วยชีวิตพ่อของผม ครั้งนั้นเรายังโชคดีที่พ่อรอดชีวิตมาได้หมอรับรองว่าเขาจะอยู่ได้อีกสักระยะ อย่างไรก็ตามเขาจะต้องหยุดการละเล่นท้าทายทุกอย่างตามที่หมอบอก เอาเถอะส่วนนี้ผมไม่ว่าอะไรตอนนี้ผมพร้อมที่จะกลับไปเสี่ยงดวงกับ “เจ๊ส” อีกครั้งแล้ว และพ่อบอกว่าเขาคงดีใจมากที่ได้พบแฟนสาวของผมไม่ว่าเธอจะเป็นใครก็ตาม
ถ้าพวกคุณเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวของผมกดปุ่มไลค์ให้ผมดูด้วยล่ะและกดติดตามช่องของเราได้เลยในนี้ยังมีวิดีโออื่นๆ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงที่น่าสนใจอีกมากมายโชคดีนะครับ