พี่สาวของฉันมีท่าทีแปลกๆ ก่อนที่เธอจะหายตัวไป

ไงพวกผมชื่อ “คริส” วันนี้ผมตัดสินใจที่จะมาเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง ตอนที่คุณเป็นเด็กบ้านคุณคงเคยเล่นกันในบ้านต้นไม้หรือป้อมปราการ แต่มันมีบางอย่างทำให้ผมรู้ว่า วันหนึ่งชีวิตของคนที่ผมรักจะต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในบ้านต้นไม้ของผมหลังนี้

พ่อแม่ของผมท่านเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีครรลองครองธรรม ดังนั้นเป้าหมายในชีวิตของพวกเขาก็คือการเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนที่มีคุณค่าและมีจรรยามารยามที่ดี เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับพวกเค้าที่มันไม่ได้ผลกับผมเลย ผมเป็นเด็กนิสัยห่ามๆ มาโดยตลอด ผมไม่ใช้นักเรียนที่ดีหรือชายหนุ่มที่อ่อนโยน แตกต่างกับพี่สาวของผม “มอลลี่” เธอจะคอยทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่ของเราสบายใจ ชื่อเสียงของเธอในโรงเรียนนั้นดีเยี่ยมไร้ที่ติ เธอดูดีและฉลาดแต่ทุกคนล้วนมีความลับที่ซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น

เรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเมื่อพี่สาวของผมกำลังเรียนอยู่ในปีสุดท้ายของโรงเรียนมันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวของเราเลยทีเดียว มีการวางแผนและมีความหวังอย่างเปี่ยมล้น พี่สาวของผมก็ดูเหมือนจะมีความสุขและตื่นเต้นมากเช่นกัน แต่ผมเห็นว่ามีบางอย่างที่ผิดปรกติเกิดขึ้นกับเธอ อย่างแรกเลยผมสังเกตุเห็นว่า เธอไม่รับประทานอาหารเช้า แม้ว่ามันจะเป็นแพนเค้กฝีมือแม่ซึ่งเป็นของที่เธอโปรดปรานเธอก็ยังไม่แตกมันซักนิด นอกจากนั้นเธอยังดูอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าตลอดเวลาพอผมถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เธอก็บอกเพียงว่า “เธอกำลังเตรียมตัวอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน” เพื่อพยายามเข้าวิทยาลัยให้ได้ มันฟังดูเป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลผมจึงเบาใจลง

แต่อันที่จริงแล้วมันยังมีบางอย่างซ่อนอยู่ มีอยู่คืนหนึ่งผมได้ยินเธอคุยกับ “ทิม” แฟนของเธอ เท่าที่ฟังดูผมรู้สึกว่ามันเป็นการสนทนาที่ไม่ดีซักเท่าไหร่ และสำหรับเรื่องนี้ผมเป็นคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าพี่สาวของผมมีแฟน เธอบอกความลับนี้กับผม และเราจะต้องเหนียบมันไว้ด้วย โดายห้ามไม่ให้พ่อแม่รู้โดยเด็ดขาดเมื่อผมถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าแค่ตอบว่าเขาไม่ใช่สำหรับฉันไม่ใช่สำหรับเธอเนี่ยนะพวกเขารักกันแทบเป็นแทบตายกันมานานแล้วผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ แต่แล้วอะไรๆ มันก็แย่ลงไปอีก “มอลลี่” กลายเป็นกับคนขี้หงุดหงิดแม้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะทำให้เธออารมณ์ขึ้นได้เราไม่ได้ไปเดินเล่นหรือดูหนังในตอนกลางคืนด้วยกันเลย แม้ว่าเราจะยังคงมีความจริงใจและใกล้ชิดกันเหมือนเคยก็ตาม แต่มาตอนนี้เธอกลับใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนเตียงพร้อมกับแซนวิสชิ้นโต

ดูเหมือนว่าพี่สาวของผมมีอาการซึมเศร้า แบบว่าซึมเศร้ามากๆ ซะด้วย ผมมั่นใจเต็มร้อยว่าเรื่องนี้มันต้องเกี่ยวกับ “ทิม” เขาทำเรื่องไม่ดีที่ทำให้เธอไม่พอใจหรือเปล่านะ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่ก็ตามผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ผมจะได้ติดต่อ “ทิม” และนัดเจอกับเขา แต่แล้วผมก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าเขาเองก็อยู่ในอาการโศกเศร้าและหัวใจสลายเช่นกัน เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ “มอลลี่” ก็ตีตัวออกห่าง และเขาหวังว่าผมจะหาคำอธิบายให้เขาได้เช่นกัน ผมยังคงสงสัยแล้วมันก็บั่นทอนจิตใจผมมากขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งพี่สาวก็มาหาผมแล้วพูดว่าเรามีอะไรต้องคุยกันหน่อย เราเริ่มต้นด้วยการเดินไปด้วยกันเงียบๆ แต่แล้วเธอก็ถามว่า “นายจำบ้านต้นไม้ที่เราเคยเล่นด้วยกันตอนเป็นเด็กได้หรือเปล่า ฉันสงสัยจังว่าไม่ได้อยู่ที่นั่นมั้ย”

แน่นอนผมจำได้ เราหามันจะได้ไม่ยากและเข้าไปข้างใน มันยังคงดูเหมือนเดิม พวกเรามีความทรงจำอันแสนสุขมากมายในนี้ ผมดีใจมากที่เห็นพี่สาวยิ้มได้อีกครั้ง แล้วจู่ๆ เธอก็พูดว่า “ฉันจะไม่เข้าวิทยาลัยแล้วนะ “คริส” อย่าบอกพ่อกับแม่นะ และได้โปรดอย่าเศร้าเมื่อฉันจากไป” คำพูดพวกนี้ทำให้ผมพูดไม่ออกเลยอะไรในโลกนี้ที่ทำให้พี่สาวของผมคิดอะไรแบบนี้ได้ ทำไมเธอต้องการจากไปแล้วจะไปไหนแม้ว่าผมจะพยายามเค้นหาความจริง แต่เธอก็ไม่ปริปากบอกคำพูดเหล่านั้นของ “มอลลี่” มันทรมานใจผมทั้งคืนแล้วไม่นานฉันก็ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ

วันต่อมาเธอไม่กลับมาบ้านหลังเลิกเรียนตามเวลา และเมื่อแม่โทรหาเธอพวกเราก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากห้องของเธอ เราขึ้นไปข้างบนแล้วพบว่าห้องของเธอยุ่งเหยิงไปหมดเสื้อผ้าในตู้หายไปเกือบหมด แล้วโทรศัพท์ของเธอก็ถูกทิ้งไว้ที่นั่นตั้งแต่เมื่อคืน และกำลังดังพ่อของเราเลยโทรไปหาครูของ “มอลลี่” และกลายเป็นว่าเธอไม่ได้ไปเรียนในวันนั้นพ่อกับแม่ตกใจและผิดหวังมากพวกเขาถามผมทันทีว่าผมรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ ผมไม่อาจเก็บมันไว้คนเดียวได้อีกต่อไปจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง แม่แทบจะเป็นลมเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเกิดอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกสาวของเธอ เธอต้องการโทรหาตำรวจเดี๋ยวนั้นแต่พ่อของผมเป็นคนมีเหตุผลกว่าเขาไม่ต้องการให้พี่สาวของผมต้องมาเสียชื่อเสียง ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะเริ่มค้นหาเธอหรือตัวเองก่อน ผมเลยโทรไปหา “ทิม” และเพื่อนๆ ทุกคนของ “มอลลี่” แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเธออยู่ที่ไหน แม่ใช้โทรศัพท์โทรทั้งวันแล้วพ่อก็ขับรถไปตะเวนดูจนทั่วละแวกบ้าน นี้มันก็เริ่มมืดแล้ว แต่ “มอลลี่” ก็ยังไม่กลับมาผมรู้สึกหมดหวังความคิดที่ว่าผมจะไม่มีวันได้เจอพี่สาวของผมอีก

มันกำลังฆ่าผมดังนั้นผมจึงเดินไร้จุดหมายไปเรื่อย กระทั่งพบว่าตัวเองอยู่ไม่ไกลจากบ้านต้นไม้ของพวกเรา ที่นั่นอาจเป็นที่ที่ดีที่สุดที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้ แต่ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่บนนั้น ผมไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองแต่ผมมั่นใจว่าผมได้ยินเสียงทารกร้องไห้ ผมปีนขึ้นไปและเห็นพี่สาวของผม “มอลลี่” นั่งร้องไห้พร้อมกับอุ้มเด็กทารกไว้ในอ้อมอก ตอนนี้ถึงตาที่ผมจะต้องเกือบเป็นลม แล้วผมยืนตัวแข็งที่งอ้าปากค้างอีกชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วจากนั้นผมดึงสติตัวเองเลยรีบเข้าไปช่วยเธอ ผมรู้ว่าผมต้องนำตัวเธอไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเธอก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วบอกกับผมว่า เธอไม่สามารถกลับบ้านได้ เธอกลัวว่าพ่อและแม่ของเราจะรับเรื่องนี้ไม่ได้เพราะเธอจะทำให้พวกท่านผิดหวังมากและเธอคิดว่าพวกท่านไม่อยากให้เธอเก็บเด็กเอาไว้เพราะเธออายุแค่ 17

ผมถามเธอว่าแล้วทำไมเธอเลิกกับ “ทิม” แทนที่จะบอกความจริงกับเขาแล้วเริ่มต้นครอบครัวที่มีความสุขด้วยกันและความกลัวก็คือคำตอบสำหรับคำถามนี้แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยกันอยู่ผมจะต้องรีบพาเธอออกไปและโน้มน้าวเธอว่า เธอและลูกกำลังต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ ผมสัญญากับเธอว่าจะยืนหยัดอยู่ข้างเธอ ถ้าพ่อแม่ของเราต่อต้านเด็กทารกคนนี้ และในที่สุดเธอก็ตกลงผมจึงเรียกรถพยาบาล และไม่นานพี่สาวของผมและทารกแรกเกิดของเธอก็ปลอดภัยที่โรงพยาบาลทั้งคู่ ผมโทรหาพ่อกับแม่แล้วบอกว่าวันนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วแล้วเธอสบายดีแต่ผมยังไม่มีกะจิตกะใจที่จะบอกว่าพวกเขาได้กลายเป็นคุณปู่คุณย่าไปแล้ว

ผมจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่พ่อกับแม่เข้ามาในห้อง และเห็นว่า “มอลลี่” กำลังอุ้มหลานชายของพวกเขา แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคาดหวังเมื่อก่อน แต่หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ร้องไห้ด้วยความสุขผ่านไป 1 ปีแล้วหลานชายของผมชื่อ “แซม” และแน่นอนเขาน่ารักมาก “มอลลี่” อายุ 18 แล้ว และเธอกำลังจะแต่งงานกับ “ทิม” ในไม่ช้า ใช้พวกเขากลับมาคืนดีกันจริงๆ แล้วพี่สาวของผมโชคดีมากที่เรื่องราวของเธอจบลงอย่างมีความสุขบางครั้งความกลัวก็บังตาทำให้เราตัดสินใจและทำอะไรโง่ๆ ลงไปได้

แล้วความกลัวเคยทำให้คุณทำอะไรอย่างไร้เหตุผลไหม คุณเอาชนะมันได้ยังไงผมยินดีถ้าพวกคุณจะเขียนเรื่องที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ ในช่องความคิดเห็นแล้วผมจะอ่านมันให้พี่สาวของผมฟัง คุณแชร์วีดีโอนี้ให้เพื่อนๆ ได้นะแล้วถามพวกเขาเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เขามี