ปัญหาสุขภาพ

ผมต้องเลือกระหว่างเเม่สติไม่ดีกับพ่อที่พิการ

สวัสดีผมชื่อ “เร็ด” อายุ 15 ปีผมอยากจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าการเติบโตมันเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดคุณคงรู้กันอยู่แล้วว่าเมื่อคุณเริ่มโตขึ้นคุณก็จะมีมุมมองที่เปลี่ยนไปซึ่งปกติมันมักจะเจ๋งขึ้นแบบว่าคุณจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้นและเข้าใจโลกมากขึ้นแต่บางครั้งคุณก็อาจต้องเจ็บปวดกับชีวิตมากขึ้นด้วยถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่คุณรักได้เฉพาะหากคุณต้องเลือกอะไรบางอย่างแล้วไม่สำคัญว่าคุณจะเลือกทางไหนเพราะยังไงมันก็เหมือนเป็นการหักหลังใครสักคนอยู่ดีผมคิดว่าคุณคงพอเดาออกว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องการหย่าร้างของพ่อแม่ผมเอง

 เมื่อ 5 ปีที่แล้วแม่ของผมแยกทางกับพ่อตอนนั้นผมอายุได้ราวๆ 10 ขวบผมร้องไห้ด้วยความขมขื่นใจอย่างมากและขอร้องให้เธอพาผมไปด้วยเธอเองก็ร้องไห้เช่นกันแต่เธอยืนยันที่จะเลือกทางเดินชีวิตของเธอเองส่วนพ่อของผมไม่พูดอะไรและได้แต่กุมมือผมไว้แน่นในตอนนั้นผมคิดว่าในชีวิตนี้คงไม่เกลียดใครได้มากเท่าเขาอีกแล้วเพราะเขาเป็นต้นเหตุให้แม่ต้องจากไปพ่อไม่เคยเข้าใจแม่เลยเขามักจะดุด่าเธอและตัดปีกแห่งอิสรภาพของเธอผมไม่ได้มโนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะเธอเป็นคนบอกให้ผมฟังเองแล้วสุดท้ายเธอก็จากไปเพราะเธอต้องการเป็นตัวของตัวเองคงคิดว่าเธอคงจะออกไปเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตแล้วคงมีการเดินทางที่เสี่ยงอันตรายแต่ผมก็ยังขอร้องให้เธอพาผมไปด้วยอยู่ดีเธอกลับจากไปแล้วทิ้งผมไว้ข้างหลังผมคิดถึงแม่มากพวกเราเคยมีช่วงเวลาดีๆร่วมกันและทำสิ่งที่น่าสนใจมากมายในขณะที่พ่อเป็นคนที่ทำแต่งานหามรุ่งหามค่ำเราไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้กันมากนักเพราะแม่บอกว่ามันเป็นอะไรที่น่าเบื่อแม่เป็นคนที่ชอบทำอะไรแผลงๆอยู่เสมอเช่นชวนผมเล่นซ่อนหาในลานจอดรถในซุปเปอร์มาเก็ตหรือไปย่านที่เราไม่รู้จักในเมืองเพื่อไปร้องเพลงข้างถนนพร้อมเปิดกล่องขอรับบริจาคเงินเพื่อค่าอาหารพวกเราหัวเราะกันตัวงอตอนที่ใช้กล่องมารับเงินที่ได้ โอ้และเธอยังมีไอเดียเจ๋งๆอีกนับพัน

เมื่ออยู่กับแม่ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยความสนุกสนานจนกระทั่งพ่อรู้เรื่องที่พวกเราได้ทำลงไปเขารู้สึกหดหู่มากแล้ววันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเข้านอนผมได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันผมยังจำทุกอย่างได้และจุดประสงค์ที่เธอต้องการจากไปคือเพื่อไปค้นหาตัวเองซึ่งความจริงแล้วผมคือคนที่สูญเสียเธอจะสูญเสียสีสันแห่งชีวิตทั้งหมดของผมไปด้วยผมยังนึกถึงเรื่องนี้หลายครั้งที่คืนหนึ่งแม่มากระซิบปลุกผมที่ข้างหูและถามผมว่าอยากจะหนีไปชายหาดพร้อมกับเธอไหมคืนนี้ไม่ได้กลิ่นอายทะเลลอยมากับสายลมนะ “เร็ดตี้” แล้วแม่คิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดีทีเดียวล่ะแม่กระซิบพร้อมยิ้มกับผมแต่พวกเราอาศัยอยู่ไกลจากชายฝั่งนับเป็นพันไมล์และแถมมันยังเป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้วด้วยแต่ผมพึ่งอายุ 7 ขวบในตอนนั้นกลับรู้สึกตื่นเต้นสุดขีดในขณะที่ผมเตรียมเก็บเสื้อผ้าแม่ก็เล่าแผนการของเธอให้ฟังเธอบอกว่าพวกเราจะบอกรถกันไปตลอดทางไม่มีอะไรน่าสนุกไปกว่านี้อีกแล้วเราจะได้พบปะกับผู้คนต่างๆและได้เห็นโลกกว้างพวกเราเก็บกระเป๋ากันอย่างเงียบๆแม่บอกว่าปล่อยให้พ่อเขาตื่นมาตอนเช้าแล้วสงสัยว่าพวกเราหายไปไหนกันเถอะ

ในขณะที่เราเตรียมตัวออกจากบ้านกันปรากฏว่าพ่อยังคงตื่นอยู่แล้วผมก็บอกเขาด้วยความยินดีเกี่ยวกับแผนการหลบหนีพวกเราแล้วบอกไม่ทราบว่าเราจะหนีไปชายฝั่งกันพ่อโกรธจัดเขาเรียกแม่ว่าเป็นคนงี่เง่าไร้สมองแล้วพ่อก็โทษว่าตัวเองก็โง่พอกันที่จะมีลูกกับคนแบบเธอผมไม่เคยเห็นพ่อตะคอกใส่แม่แบบนี้มาก่อนหรืออย่างน้อยเขาก็ไม่เคยทำแบบนี้ให้ผมเห็นผมตกใจกลัวมากก็คงไม่หนีไปหลบอยู่ใต้เตียงแล้วตอนนี้ผมก็ต้องทนอยู่กับชายคนนี้คนที่แม่บอกผมหลายครั้งซ้ำๆ ว่าเป็นคนที่น่าเบื่อและไร้ซึ่งจินตนาการแล้วมันก็จริงอย่างแม่ว่าเพราะการอยู่กับพ่อเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆแล้วผมก็ยังกลัวเขาอีกด้วยปกติเราพูดคุยกันน้อยมากและมักจะกินอาหารเย็นกันเงียบๆหลังจากที่เขากลับจากที่ทำงานครั้งหนึ่งผมทนไม่ไหวกับความเงียบนี้ซึ่งถามเขาประมาณว่าวันนี้พ่อเป็นยังไงบ้างครับเขาอึ้งมองหน้าผมอยู่ครู่นึงและถามผมกลับว่าลูกอยากรู้จริงๆเหรอผมไม่เข้าใจสีหน้าของเขาในตอนนั้นน้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนประชดประชันผมจะตอบว่าก็ไม่เชิงหรอกครับพร้อมกับก้มหน้าหลบตาเขา 

1 ปีผ่านไปแม่เริ่มส่งโปสการ์ดมาหาผมก็ไม่ค่อยบ่อยนักประมาณ 2 3 เดือนครั้งได้และในนั้นก็ไม่ได้เขียนข้อความทักทายหรืออะไรสักอย่างมันเป็นเพียงโปสการ์ดเปล่าๆที่มีแค่ที่อยู่เท่านั้นแต่แค่นั้นผมก็มีความสุขมากแล้วพอมาจะยื่นโปสการ์ดเหล่านั้นให้ผมโดยไม่พูดอะไรแล้วผมก็จะรีบมามันขึ้นไปที่ห้องเพื่อพิจารณาดูว่ามันถูกส่งมาจากไหนที่อยู่เหล่านั้นล้วนเป็นสถานที่แปลกๆและดูลึกลับซึ่งมันท้าทายจินตนาการผมอย่างมากจนผมต้องไปค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแม่ส่งพวกมันมาจากอะไรในทิเบตศูนย์เข้ามาในบาหลีและอาสมในกัวหลายครั้งที่ผมส่งจดหมายกลับไปตามที่อยู่เหล่านั้นผมอธิบายให้ฟังว่าผมคิดถึงเธอและชีวิตของผมต้องข่มขืนขนาดไหนเมื่อไม่มีเธอในจดหมายผมจึงขอร้องให้เธอพาผมไปด้วยเพื่อหลุดพ้นจากผู้ชายคนนี้คนที่ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากงานของเขาแต่แม่ก็ไม่เคยตอบกลับมาแล้วในที่สุดก็ไม่มีโปสการ์ดส่งมาอีก

ในขณะที่ผมโตขึ้นความชิงชังที่มีต่อพ่อก็ตามขึ้นมาเรื่อยๆด้วยผมเข้าสู่วัยรุ่นแล้วแล้วเริ่มไม่ค่อยกลัวเขาอีกต่อไปตรงกัน ตรงกันข้ามผมเริ่มเถียงเขาและต่อว่าเขาในเรื่องที่เขาเป็นคนผลักดันให้แม่สิ้นหวังเรื่องความจู้จี้ของตัวเขาและบีบบังคับจิตใจของเธอฉันทำให้เธอต้องจากไปพ่อไม่เคยตอบโต้อะไรทั้งนั้นผมจึงพยายามเริ่มออกจากบ้านครั้งแรกที่ออกไปผมรู้สึกกลัวและเปลี่ยนใจกลับมาบ้านก่อนที่พ่อจะกลับมาถึงจะได้ครั้งต่อมาผมได้ไปที่ ไฮเวย์ แล้วคนขับรถบรรทุกก็พบตัวผมที่นั่นผมอธิบายให้เขาฟังว่าผมกำลังจะไปที่อาสมแอมม่าในคาร่าร่าเพื่อไปหาแม่คนขับถามว่ามันอยู่ที่ไหนของโลกนี้แล้วเมื่อผมตอบว่ามันอยู่ในอินเดียเขาก็พูดว่าโอเคเข้าใจแล้วผมคิดว่าเขาจะช่วยผมให้ไปที่อินเดียได้แต่เขากลับเข้าไปส่งของที่สถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุดแทนและจูงมือผมไปส่งให้กับตำรวจผมอายมากจนไม่กล้ามองหน้าใครแล้วผมก็โกรธแล้วก็กลัวมากด้วยเมื่อพ่อมาถึงผมคิดว่าเขาคงจะตะคอกใส่ผมเหมือนอย่างที่ทำกับแม่แล้วผมก็พร้อมที่จะสู้ตอบแต่เขาก็พาผมกลับไปที่รถอย่างเงียบๆและขับรถพาผมกลับบ้านลูกต้องการไปหาแม่จริงๆหรอเขาถามผมว่าเบาๆ

ขณะที่เรามาถึงได้กลางทางแล้วโดยที่ไม่ละสายตาจากถนนผมนั่งเงียบแล้วไม่รู้จะตอบเขาว่ายังไงและเขาก็พูดต่อว่าพ่อก็คิดถึงแม่มากเหมือนกันนะพ่อคิดถึงแม่นกน้อยผู้ร่าเริงของพ่อแต่พ่อคิดว่าแม่คงมีความสุขมากกว่าหากไม่ไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นแหละไม่มีพวกเราผมไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ความชิงชังทั้งหมดที่ผมเคยมีต่อพ่อมันได้หลั่งออกมาพร้อมกับน้ำตานั้นไปจนหมดสิ้นเวลาผ่านไปจนผมอายุ 13 ปีภาพยนตร์เรื่องด็อกเตอร์สเตรนจ์ก็เข้าฉายในโรงภาพยนต์และเหตุการณ์ต่างๆในหนังเรื่องนี้ผสมปนเปกับทุกสิ่งที่ผมได้จินตนาการถึงชีวิตของแม่เมื่อยามที่เธอผ่านไปที่ไหนสักแห่งที่รายล้อมด้วยพระและปรมาจารย์ทั้งหลายผมเริ่มโตพอที่จะไม่สงสัยว่าเธอเป็นพวกนักเล่นแร่แปรธาตุอะไรทำนองนั้นแล้วแต่กลับกลายเป็นว่าผมเริ่มคุ้นเคยกับชีวิตธรรมดาที่แสนน่าเบื่ออย่างที่แม่เกลียดมันเข้าไส้ผมเริ่มสนใจวิชาเลขเริ่มเล่นเบสบอลเริ่มหัดเล่นกีตาร์ผมยังคงไม่รู้ว่าจะเลือกมุ่งเนั้นกับเรื่องไหนดีผมจะปรึกษาพ่อเรื่องนี้แหละก็บอกผมว่าตอนที่เขาอายุเท่าผมเขาก็สับสนกับสิ่งที่อยากจะเป็นเหมือนกันเขาไม่รู้ว่าจะเป็นนักดนตรีหรือเป็นนักบัญชีดีแต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะเป็นวิศวกรไฟฟ้า วันหนึ่งผมขอให้เขาพาไปที่ทำงานด้วยแล้วผมก็ต้องอึ้งไปเลยผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าพ่อจะต้องทำงานในที่สูงแบบนั้นงานที่น่าเบื่อที่ผมเข้าใจก็เป็นอะไรที่ทำให้ผมทึ่งอย่างที่สุด 

1 ปีผ่านไปมันก็เกิดปัญหาเข้ามาในชีวิตของพ่อและผมพ่อประสบอุบัติเหตุขณะทำงานอันที่จริงมันเกิดขึ้นกับคู่หูของพ่อแต่พ่อพยายามเข้าไปช่วยเขา เขาละเมิดข้อควรระวังด้านความปลอดภัยและได้รับบาดเจ็บสาหัสหมอพยายามถึงที่สุดแล้วแต่ก็ไม่สามารถรักษาขาเค้าไว้ได้ดังนั้นพ่อฉันจึงต้องเสียขาไปและรวมถึงงานของเขาด้วยนอกจากนี้บริษัทประกันภัยยังไม่สามารถช่วยอะไรพ่อได้เนื่องจากมีการละเมิดข้อควรระวังด้านความปลอดภัยจึงทำให้พ่อได้รับค่าชดเชยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นตอนนี้พวกเราได้แต่กังวลว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปนี้แน่นอนพ่อพยายามให้กำลังใจตัวเองแต่มันก็ไม่ง่ายเลยส่วนผมก็พยายามอย่างดีที่สุดให้กำลังใจเขาและใช้เวลากับเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้วันหนึ่งขณะที่พ่อแล้วผมอยู่บ้านเล่นกีต้าร์ด้วยกันเสียงกริ่งที่หน้าบ้านก็ดังขึ้นตอนแรกผมยังจำไม่ได้ว่าผู้หญิงที่แต่งตัวดีดูสวยงามและมาดมั่นที่ยืนอยู่หน้าบ้านเราที่เป็นใครแต่ปรากฏว่าเธอคือแม่ผมเองเธอมาพร้อมชายชุดสูทที่รู้ภายหลังว่าคือทนายของเธอนั้นคือวิธีที่แม่ของผมกลับมาบ้านหลังหายไป 5 ปีเพื่อค้นหาการเติบโตทางจิตวิญญาณ 

เธอไม่เพียงแต่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการเอาชนะการเหนื่อยหน่ายในชีวิตก็ยังชาญกับประเด็นทางกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องสินสมรสและตัวผมในบรรดาข้อโต้แย้งต่างๆทนายความของเธอก็มอบซองจดหมายของผมในสมัยเด็กให้กับพอใจความในจดหมายล้วนเต็มไปด้วยเรื่องที่ผมไม่อาจทนอยู่กับพ่อได้และขอร้องให้แม่พาผมไปด้วยมันคือจดหมายทุกฉบับที่ผมไม่เคยได้รับการตอบกลับมาแต่ครั้งเดียวคุณรู้ไหมว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหนที่รู้ว่าแม่ของผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยนางฟ้าซุกซนในวัยเด็กของผมเป็นเพียงแค่ผู้หญิงบ้าละห่ำที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้นและตอนนี้เธอก็ต้องการสิ่งต่างๆในทางโลกที่มากกว่าเดิม ไม่จำเป็นต้องบอกก็พอเดาได้ว่าผมไม่ต้องการอยู่ข้างเธออีกต่อไปขั้นตอนการหย่าร้างไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม่ไม่ยอมจ่ายเงินค่าทนายแล้วพ่อก็แทบจะถอดใจแล้วหลายครั้งแต่ผมไม่พร้อมที่จะยอมแพ้ในตอนต้นของเรื่องนี้ผมได้บอกคุณแล้วว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนในการเลือกไม่ว่าจะเลือกทางไหนคุณก็กลายเป็นคนที่ทรยศอยู่ดีแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีทางเลือกเหลืออยู่เลยมันกลายเป็นว่าตอนที่ผมยังเล็กผมถูกทำให้เข้าใจว่าพ่อเป็นคนที่ดุร้ายเพราะอิทธิพลจากแม่แต่ตอนนี้สำหรับเธอแล้วผมทำให้หัวใจของเธอแตกสลายเพราะผมเลือกที่จะอยู่กับพ่อแล้วคุณรู้อะไรไหมผมคิดว่าจิตใจของแม่คงจะสงบลงได้ถ้าเธอได้ไปที่อาสมที่ไหนสักแห่ง

คุณเคยได้มองคนใกล้ชิดด้วยอีกมุมมองหนึ่งที่แตกต่างออกไปบ้างไหมเขียนเล่ามาได้เลยในช่อง คอมเม้น แล้วอย่าลืมรับชมวิดีโออื่นๆของช่วงนี้กันด้วยนะครับ 

เรื่องเล่าที่เกี่ยวข้อง

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments
Back to top button
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x

ปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณา

กรุณาปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณาก่อนนะ เพราะเว็บจะอยู่ได้ก็จากป้ายโฆษณา