ฉันมีอาการพิการทางสมองแต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคต่อการช่วยชีวิตพ่อของฉัน
สวัสดีเพื่อนๆ ฉันชื่อ “เชลซี” อายุ 13 ปี และฉันมีเรื่องราวที่ควรจะนำมาแบ่งปันถ้าคุณอยากรู้ว่าตอนที่ชีวิตฉันกำลังถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายระหว่างความเป็นความตายมันเป็นยังไงละก็ ฉันจะเล่าให้ฟัง
ประเด็นคือฉันเกิดมาพร้อมกับอาการพิการทางสมองในครอบครัวของคนที่คลั่งกีฬา 2 คนนี้ พ่อของฉันเป็นนักสกีมืออาชีพในขณะที่แม่ของฉันก็เป็นนักปีนเขาเลยเช่นกัน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับกับสิ่งที่ต้องเผชิญ
แต่พวกเขาไม่เคยยอมแพ้ พ่อแม่ของฉันทำทุกอย่างเท่าที่พวกเขาจะทำได้อย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันเป็นคนพิการ ฉันเล่นกีฬามากมายตั้งแต่ยังเด็กทั้ง ว่ายน้ำ เล่นสกี เล่นเทนนิส ตามความสามารถทางกายภาพของฉันจะเอื้ออำนวย
และแน่นอนทุกๆ ฤดูร้อนพวกเราก็จะไปปีนเขาด้วยกัน นั่นมันเป็นธรรมเนียมที่พวกเราไม่เคยพลาดเลยล่ะ ฉันมักจะรออย่างกระตือรือร้นเมื่อต้องเลือกที่ที่เราจะไป และล่าสุดจุดหมายที่พวกเราวางแผนไว้ก็คือเส้นทาง “เดอะ แปซิฟิก เครสท์” พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้มันจะทำให้ชีวิตของพวกเรากลับตาลปัตรแค่ไหน พอฉันรู้ถึงจุดหมายที่เราจะไปกันแล้ว ฉันก็กลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเลย แม้ว่าแม่ของฉันจะมีความลังเลเล็กน้อยเพราะที่นั่นน่ะมันเป็นเส้นทางเดินเขาที่ค่อนข้างยากแต่ทั้งพ่อและฉันก็ยังเกลี้ยกล่อมให้เธอวางใจ
และในที่สุดพวกเราก็ไปถึงที่นั่นพร้อมกับเป้สะพายหลังหนักอึ้งและมุ่งหน้าเดินไปสู่แคมป์ของเราซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่ฉันก็ทำได้ดีมาก กระทั้งฉันเสียการทรงตัวและสะดุดก้อนหินทำให้ข้อเท้าของฉันแพลงมันก็เลยทำให้ฉันต้องเดินกระโผลกกระเผลกมากขึ้นเข้าไปอีก พ่อกับแม่พยายามให้กำลังใจฉัน แต่ฉันแอบได้ยินแม่กระซิบกับพ่อว่า “ฉันว่ามันยากเกินไปสำหรับลูกนะ เรากลับกันดีไหมพ่อ” คำพูดนี้มันทำให้ฉันรู้สึกแย่สุดๆ เลย ทำไมล่ะใครๆ ก็ล้มกันได้ทั้งนั้นน่ะไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน
แต่แล้วไม่นานหลังจากนั้นพวกเราก็มาถึงจุดพักแรก วิวที่นั่นมันยอดเยี่ยมมากเลย แต่ฉันไม่รู้สึกอยากเดินไปดูรอบๆ เพราะผู้คนพากันต้องมองแล้วก็ชี้มาที่ฉัน ซึ้งมันทำให้ฉันรู้สึกเศร้ามากขึ้นฉันเลยไปนั่งเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้จากนั้นพ่อก็เดินมาหาด้วยท่าทีลับๆล่อๆ แล้วก็ถามว่า “ลูกอยากออกไปทริปลับไหมแค่เราสองคน” แน่นอนคำตอบคือ “อยากค่ะกัปตัน” พวกเราเลยตัดสินใจที่จะออกไปเดินเล่นรอบๆ สักหน่อยแล้วก็ไม่ได้บอกแม่ว่าจะไปไหน เพราะยังไงเธอก็ยุ่งอยู่กับการจัดเต็นท์แล้วก็ทำอาหารเย็นอยู่ดี ดังนั้นเราเลยหยิบกล้องถ่ายรูปและขวดน้ำดื่มแล้วก็เริ่มออกเดินทาง พวกเรามีช่วงเวลาที่วิเศษมาก เราถ่ายรูปหินและภูเขา มันทำให้ฉันลืมเรื่องอุบัติเหตุเมื่อตอนเช้าวันถนนไปสนิท ฉันเอาแต่ตั้งตารอที่จะโชว์ภาพถ่ายสวยๆ พวกนี้ให้แม่ดูตอนที่เรากลับไป
เราเดินกันมาไกลพอสมควรดังนั้นก็เลยตัดสินใจเดินกลับที่พัก แต่ระหว่างทางเราก็พบกับวิวที่สวยอย่างเหลือเชื่อ มันเป็นหน้าผาบนหินสูงแล้วก็มีดอกไม้ขึ้นสวยงามเต็มไปหมดอยู่เบื้องล่างแล้วก็มีหิมะด้วย พ่อกับฉันประทับใจมากเลยล่ะ ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิตเลย พ่อเริ่มถ่ายภาพเป็นร้อยๆ ภาพจากทุกมุม
แต่ทันใดนั้นเขาก็สะดุดแล้วก็ลื่นตกลงไปจากหน้าผา เหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้นเร็วมากจนฉันต้องตั้งสติตัวเองอยู่สักพักว่ามันเกิดอะไรขึ้น หัวใจของฉันหล่นวูบ ฉันนอนราบที่ขอบหน้าผาแล้วเริ่มตะโกนเรียกหาพ่อ และไม่กี่นาทีต่อมาฉันเห็นเขาพยายามคลานขึ้นมาพร้อมกับร้องโอดครวญ ฉันดีใจมากๆ เลยที่เห็นเขายังมีชีวิตอยู่แต่เราไม่มีเวลามาก
ฉันต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเขาขึ้นมา มันเป็นทางที่สูงชันมากแล้วพบว่าขาพ่อหักด้วย ฉันพยายามช่วยพ่อขึ้นมาหลายครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าเราต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แต่ทุกอย่างไม่เป็นใจกับเราเลยอ่ะ โทรศัพท์มือถือก็ไม่มีสัญญาณท้องฟ้าก็เริ่มจะมืดแล้ว และพวกเราก็อยู่ไกลจากแคมป์มากและตัวฉันที่ทั้งมีอาการพิการทางสมองอยู่แล้วบวกอาการบาดเจ็บเมื่อตอนเช้าทำให้เคลื่อนไหวไม่ถนัดนักและตอนนี้ฉันก็ไม่แน่ใจด้วยว่าฉันจะหาทางกลับไปที่แคมป์ได้หรือเปล่า ฉันร้องไห้ออกมาเพราะรู้สึกหมดหวังดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่ฉันจะสามารถทำได้เพื่อช่วยพ่อเลยแต่เขายังคงพูดว่า “เราจะต้องทำได้ เชลซี จะต้องไม่เป็นไร”
ทันใดนั้นเองฉันก็เกิดความคิดขึ้นมา ฉันฉีกสายสะพายเป้ของเราแล้วมัดมันเข้าด้วยกันเพื่อทำเป็นเชือก แน่นอนว่าฉันไม่สามารถดึงพ่อขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ฉันก็เลยผูกเชือกไว้กับต้นไม้ ราวกับปาฏิหาริย์พ่อของฉันไต่เชือกปีนขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ในเวลานั้นท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว พวกเราไม่สามารถพักที่นี่ได้เพราะไม่มีเต็นท์หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นกับเรา
ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพยายามเดินกลับไปที่แคมป์พ่อของฉันแทบจะเดินไม่ได้ ฉันจึงต้องพยุงเขาฉันไม่รู้เลยว่าเราเดินกันมาไกลแค่ไหนแล้ว แต่ในที่สุดเราก็ออกไปเจอถนนใหญ่ จากนั้นฉันเห็นรถบรรทุกฉันไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองมันน่าทึ่งจริงๆ พวกเราเหนื่อยมากแต่ฉันก็พยายามกระตุ้นให้พ่อเดินเร็วขึ้นแต่ความหวังของเราแทบพังทลายลงทันที เมื่อเราพบว่าคนขับรถบรรทุกขับตรงมาทางเราแต่ว่าเขาขับเร็วเกินกว่าที่เราจะออกไปเรียกเขาทัน
เพราะพวกเราอยู่ไกลเกินไปดังนั้นจึงไม่มีโอกาสที่คนขับจะเห็นหรือได้ยินเราเลย ฉันรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีทิ้งพ่อที่น่าสงสารให้รออยู่ตรงนั้นแล้วรีบวิ่งตรงไปบนถนน ไปที่รถบรรทุกคันนั้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วก็ตะโกนร้องออกมา “ช่วยด้วย รอก่อน” โชคยังดีที่ชายผู้ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่กำลังหลงทางคนนี้ได้ยินฉัน และหลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็ได้นั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถเขาและเดินทางกลับไปที่แคมป์ เรามาถึงแคมป์ตอนรุ่งสางทั่วทั้งค่ายดูแตกตื่น
กลายเป็นว่ามีกลุ่มคนงานกู้ภัยคอยตามหาพวกเราทั้งคืน หมอรีบเข้ามาช่วยเหลือพ่อและฉันในทันทีและให้การปฐมพยาบาลแก่เรา โอ้ว..และแม่ที่น่าสงสารของฉัน ฉันยังจำใบหน้าของเธอในตอนนั้นได้ดี มันดูซีดไปหมด นี่แหละคือการออกทริปลับของพวกเรา มันกลายเป็นประสบการณ์ที่แย่ที่สุดในชีวิตของฉัน ทุกอย่างลงเอยที่ขาของพ่อหักรวมถึงกล้องก็พังด้วยผมของแม่เปลี่ยนเป็นสีเทาและการเดินทางทั้งหมดของเราก็พังทลายอย่างไม่เป็นท่า
แต่พวกเราโชคดีมากที่มีชีวิตรอดกลับ แต่หลังพายุท้องฟ้าย่อมสดใสเสมอ ตั้งแต่วันนั้นมาพ่อและแม่ของฉันก็ไม่เคยสงสัยในความสามารถของฉันอีกเลย วันนั้นมันทำให้ฉันรู้ว่า ฉันสามารถทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ฉันรัก และไม่มีความพิการทางร่างกายใดที่จะสามารถหยุดฉันได้
หากคุณมีช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังในชีวิตและคิดว่าไม่มีแสงสว่างที่รอคุณอยู่ที่ปลายอุโมงค์ ฉันหวังว่าเรื่องราวของฉันอาจเป็นประโยชน์ให้กับพวกคุณ ฉันหวังว่าเรื่องราวของฉันอาจเป็นประโยชน์ให้กับพวกคุณ ฉันยินดีมากที่จะอ่านเรื่องราวของคุณในช่องความคิดเห็น หากคุณพบว่าเรื่องราวของฉันเป็นแรงบันดาลใจก็อย่าลืมแชร์มันกับเพื่อนๆของคุณ อย่ายอมแพ้แล้วก็เข้มแข็งเข้าไว้ด้วยรักจาก “เชลซี”