ฉันมีครอบครัวอุปถัมภ์ 3 บ้าน และฉันได้พบเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย
สวัสดี ฉันชื่อโคลอี้นับตั้งแต่แม่เสียชีวิตฉันถูกบังคับให้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของครอบครัวอุปถัมภ์หลายครั้งสารภาพตามตรงว่านั้นคือช่วงเวลาหลายปีที่ยากลำบากทีเดียว
แม่ของฉันเป็นคนน่ารักเวลาที่ไม่ดื่มเหล้าปัญหาก็คือแม่ดื่มเกือบตลอดเวลา พูดตามตรงทุกคนในครอบครัวเราเกลียดแม่และไม่อยากยุ่งด้วยเลยเพราะแม่มากไปขอเงินและสร้างปัญหาให้พวกเขา
ดังนั้นเราจึงแทบไม่มีญาติที่เราสนิทเลย เมื่อฉันอายุครบ 14 ปีแม่เข้าโรงพยาบาลแล้วก็เสียชีวิต ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยฉันอยู่ในสภาพมึนงงเลยยากที่จะเข้าใจว่าควรทำยังไงต่อ ตอนแรกคนอื่นอยากให้ฉันย้ายไปอยู่บ้านคุณตาแต่เขาบอกว่าไม่อยากยุ่งกับฉันหรือแม่ เขาไม่แม้แต่จะมางานศพแม่ด้วยซ้ำที่จริงคือแทบจะไม่มีใครมางานศพแม่เลยมีแค่ฉันและครอบครัวของพี่ชายแม่เขามีภรรยากับลูกสาวที่อายุน้อยกว่าฉัน 1 ปี ไม่มีใครพูดอะไรจนฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมากครอบครัวของลุงตัดสินใจรับฉันไปอยู่ด้วย
ถึงความจริงแล้วพวกเขาจะไม่อยากก็ตามฉันไม่อยากไปอยู่กับพวกเขาเหมือนกันเพราะฉันรู้ว่าลึกๆ แล้วพวกเขาเกลียดฉันกับแม่พวกเขาตั้งกฎกับฉันมากมายอย่างกับพวกเขาไม่เคยมีลูกสาว เราต้องใช้ห้องร่วมกันและเธอจะโมโหถ้าฉันแตะต้องของของเธอ แม้ว่าฉันจำเป็นที่จะต้องใช้มันจริงๆ ก็ตามอย่างเช่นครั้งหนึ่งฉันจำเป็นต้องใช้ถุงเท้าเพราะคู่ที่ฉันมีเก่าและขาดเป็นรู ฉันเลยยืมของเธอมาแล้วไม่มีเวลาขอฉันกำลังจะไปสาย หลังจากนั้นเธอบอกพ่อแม่ว่าฉันขโมยของของเธอแต่พวกเขาก็โกรธ
ต่อให้ฉันจะพยายามอธิบายก็ตาม ฉันไม่อยากใช้เวลาที่บ้านจึงมักอยู่ข้างนอกจนดึกดื่น และเมื่อกลับถึงบ้านลุงก็จะโมโหฉันและให้ฉันมีอิสระน้อยลงไปอีก พูดง่ายๆ ก็คือฉันแค่อาศัยบ้านของพวกเขากินข้าวและนอนหลับไม่มีกระทั่งเสื้อผ้ามากพอให้ใส่ออกไปไหนมาไหนบางครั้งพวกเขาจะทานอาหารค่ำด้วยกันในครอบครัวและฉันก็ไม่ได้รับเชิญให้กินด้วยจึงต้องกินคนเดียวเงียบๆ ในห้อง
พวกเขาไม่ถึงขนาดกีดกันไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วยอย่างเปิดเผย แต่ลึกๆ แล้วพวกเขาก็เป็นแบบนั้นแหละ สิ่งเดียวที่ช่วยฉันได้คือเพื่อนฉันที่อยู่ต่างเมืองเราคุยกันผ่าน Facebook พวกเขาช่วยฉันได้มากจริงๆ เวลาที่ฉันรู้สึกหดหู่หรืออยากร้องไห้ซึ่งเป็นเกือบตลอดเวลาเพราะสถานการณ์ในบ้านนั้นแย่แล้วพวกเขาก็ไม่มีเงินมากพอจะดูแลฉัน ไม่นานฉันจึงถูกส่งเข้าระบบอุปถัมภ์ ทันใดนั้นฉันก็ต้องไปอยู่บ้านอีกหลังอยู่กับครอบครัวที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงแล้วเอาอะไรๆ ก็ยิ่งบ้าบอมากขึ้นไปอีก คุณและคุณนายคอลีนมีลูกอุปถัมภ์อีก 2 คนพวกเขาดูเป็นพวกที่ทั้งที่ตื่นและก้าวร้าวชอบมองฉันเหมือนฉันเป็นศัตรูและไม่พูดกับฉันเลย ขณะเดียวกันคุณและคุณนายคอลีนก็ตะโกนใส่กันตลอดเวลาตะโกนมากกว่าพูดจาแบบปกติซะอีกพวกเขาโต้เถียงกันตลอดฉันเลยสงสัยจริงว่าทำไมคนแบบนี้ถึงเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ได้
บางทีพวกเขาคงทำเพื่อเงินเพราะทั้งคู่ไม่ได้ให้อะไรเรามากไปกว่าอาหาร พวกเขาเข้มงวดด้วยเหมือนกัน พวกเขายังยึดโทรศัพท์เราไปเพราะฉะนั้นฉันเลยขาดการติดต่อเพื่อนทางออนไลน์ทั้งหมดด้วย พวกเขาอนุญาตให้เราเปิดตู้เย็นได้เฉพาะบางช่วงเวลาในแต่ละวันดังนั้นถ้าเราหิวเราต้องจัดการเอาเองแต่เราทำอะไร และไม่ได้นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างพี่น้องอุปถัมภ์กับฉัน
ในคืนนึง “ดีแลน” ผู้ชายที่อาศัยอยู่กับเราทำผิดและถูกห้ามไม่ให้กินอะไรไปครึ่งวันหรือทำนองนั้น “ดีแลน” และนอนอยู่บนเตียงหิวจนขยับตัวไม่ไหวดังนั้นฉันจึงพูดกับเด็กผู้ชายอีกคนชื่อ “แอนดรูว์” เรื่องแอบเข้าไปในห้องครัวและเอาอาหารมาให้ “ดีแลน” “แอนดรูว์” เห็นด้วยก็เป็นครั้งแรกที่เขาคุยกับฉัน “แอนดรูว์” คอยดูต้นทางให้ในขณะที่ฉันเปิดตู้เย็นอย่างช้าๆ แล้วหาของกินให้ “ดีแลน” เป็นขนมปังไม่กี่ชิ้นชีสและไส้กรอกพวก “คอลิน” จะได้ไม่ทันสังเกตเห็นฉันปิดประตูโดยไม่ทำให้เกิดเสียงจากนั้น “แอนดรูว์” ก็ทำสัญญาณบอกให้ฉันไปซ่อนเราทั้งคู่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะและพ่อบุญธรรมของเราก็เข้ามาในครัวหาอะไรกินหัวใจเราเต้นระทึกในที่สุดเขาก็ไปแล้วเราก็กลับห้องอย่างเงียบเชียบเอาอาหารไปให้ “ดีแลน” เขาดีใจอย่างมาก หลังจากนั้นเราทั้งหมดก็กลายเป็นเพื่อนกันและคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน วันหนึ่ง “แอนดรูว์” ถูกทำโทษเป็นตาเขาที่ต้องทนหิวตอนค่ำบ้างครั้งนี้ชั้นและ “ดีแลน” แอบเข้าไปในครัวที่ “ดีแลน” สะดุดเก้าอี้โดยบังเอิญพ่อแม่บุญธรรมจึงโผล่มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น “ดีแลน” เข้าไปซ่อนใต้โต๊ะ แต่ชั้นซ่อนไม่ทันคุณ “คอลิน” จับฉันไว้ตะโกนใส่ฉันเป็นชั่วโมงและขังฉันไว้ในห้องตลอดวันถัดมา
ตอนนี้แม้แต่ “ดีแลน” และ “แอนดรูว์” ก็ช่วยฉันไม่ได้การมีเพื่อนช่วยได้มากแต่ก็ได้แค่ไม่นานหลังจากนั้นพักนึงเราก็ถูกย้ายอีกรอบเราสัญญาว่าจะติดต่อกันต่อไปแต่ก็ยากมากและฉันยังกลัวว่าจะไม่ได้พบหรือได้ยินข่าวคราวของพวกเขาอีก การถูกย้ายเป็นหนที่ 3 นี้น่ากลัวฉันนึกไม่ออกเลยว่าฉันต้องทนกับเรื่องสยองขวัญแบบไหนอีก
ฉันมาถึงบ้านหลังถัดไปเพื่อพบกับผู้หญิงโสดคนนึงที่ชื่อ “ซูซาน” ฉันกลัวเธอเลยไม่พูดอะไรแล้วตอนแรกฉันยังรู้สึกไม่เชื่อใจเธอนักเธอก็เข้าใจและปล่อยให้ฉันใช้โทรศัพท์หรือกระทั่งออกไปข้างนอกแต่มีกฎคือต้องทำงานบ้านหลายอย่างแล้วฉันก็ทำเพราะไม่อยากเปลี่ยนบ้านอีกเพราะมันน่ากลัว แค่มีอาหารกินแล้วไม่ต้องถูกตะโกนใส่ทุกวันก็ถือว่าดีสุดๆ แล้วถึงอย่างนั้นฉันก็มาทำตัวไม่ดีและบางครั้งหยาบคายกับเธอกระทั่งไม่ยอมทำงานบ้านแต่เธอก็ยังคงดีกับฉันไม่ว่าฉันจะเป็นยังไง
ฉันจึงเริ่มเชื่อใจเธอมากขึ้น “ซูซาน” ดีกับฉันและฉันก็ดีกับเธอ เธอทำดีกับฉันที่เดียว กระทั้งเล่าให้ฟังว่าลูกชายของเธอเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน เธออยากใช้เวลากับเด็กๆ เพราะไม่อยากอยู่คนเดียวและเพราะเธอไม่มีคนในครอบครัวคนอื่นๆ แล้วพูดตรงๆ ว่า “ซูซาน” เริ่มทำให้ฉันนึกถึงแม่ครั้งนึงฉันเลยเผลอเรียกเธอว่าแม่และคิดว่าจะต้องถูกโกรธแต่เธอกลับยิ้มและกอดฉัน หลังจากอยู่ที่บ้านเธอหลายเดือนฉันก็พยายามหา “ดีแลน” หรือ “แอนดรูว์” บน Facebook ฉันพบ “แอนดรูว์” และดีใจมากฉันถามเขาว่าเขารู้เรื่องของ “ดีแลน” ไหมแต่น่าเศร้าที่เขาไม่รู้เลย
ฉันคงอาศัยอยู่กับผู้หญิงคนนี้ต่อไปเป็นปีและรักเธอมากจริงๆ เธออยากรับเด็กมาเพิ่มอีกแต่คงไม่สามารถดูแลพวกเขาได้และแล้ว “ซูซาน” ก็พูดอะไรบางอย่างซึ่งงดงามสำหรับฉันมากเธอถามว่าอยากให้เธอรับฉันเป็นลูกบุญธรรมหรือไม่ฉันตอบว่าอยากค่ะโดยไม่ลังเลสักนิดถึงอย่างนั้นก็ยังมีเงื่อนไข 1 ข้อฉันต้องตั้งใจเรียนมากขึ้นเพื่อจะได้มีอนาคตที่ดีกว่าเดิมและอาจช่วยเธอได้ในตอนที่เธอชราเกินกว่าจะดูแลตัวเองไหว แน่นอนว่าฉันตอบตกลงเพราะมันดีมากจริงๆ
ในที่สุดมีใครสักคนเชื่อในตัวฉัน หลังเรื่องทั้งหมดนี้ฉันตัดสินใจว่าเมื่อโตพอฉันจะทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ว่ากันตามตรงฉันได้รับสิ่งดีๆ มากกว่าเด็กส่วนใหญ่ที่อยู่ในการอุปถัมภ์แล้วฉันก็อยากจะช่วยพวกเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉันยินดีอย่างยิ่งที่คุณรับฟังเรื่องราวของฉันและอยากขอให้คุณแบ่งปันกับเพื่อนของคุณเพราะมีเด็กอีกนับพันที่ต้องทนทุกข์แต่มีสิ่งเล็กๆ ที่เราทำให้พวกเขาได้เสมอ