ฉันค้นพบความลับของเพื่อนบ้านใหม่ของฉันซ่อนตัวจากทุกคน
สวัสดีผม “เจสัน” เอาล่ะก่อนเริ่มเรื่องผมสงสัยขึ้นมาว่าพวกคุณมาจากไหนกันบ้างบอกชื่อสถานที่ที่คุณใส่ไว้ในความคิดเห็นด้านล่างสิ ผมคิดว่ามันน่าจะเจ๋งดีนะที่จะได้เห็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่นี่
อันที่จริงที่ถามผมแบบนั้นก็ผมมีเหตุผลน ะเพราะผมมั่นใจ 100% เลยว่าไม่มีใครในนี้หรอกที่มาจากบ้านเกิดที่ผมอยู่ ผมถูกห้ามไม่ให้บอกชื่อเมืองนั้นแต่ความจริงก็คือน่าเสียดายที่มีสถานที่แบบนี้มากมายอยู่บนโลกนี้ ผมอาศัยอยู่ในเมืองร้างเมืองหนึ่งและอย่างที่คุณเห็นบางครั้งมันก็น่าขนลุกซะจริงๆ
เมื่อ 40 ปีที่แล้วมันเคยเป็นเมืองทางตะวันตกตอนกลางของประเทศที่เฟื่องฟูแต่ดูตอนนี้สิ 99.9% ของบ้านช่องที่นี่ว่างเปล่าแล้วมันก็เป็นแบบนี้มานานแล้วด้วยที่มันเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นรอบๆ โรงงานผลิตพลาสติกขนาดใหญ่ แล้วเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมาโรงงานนี้ก็ได้ปิดตัวลงและเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนก็ย้ายออกไปหมดเพราะมันไม่มีงานอะไรทำอีกแล้ว เคยมีผู้คนหลายพันคนอาศัยอยู่ที่นี่แต่ตอนนี้ประชากรที่เหลืออยู่มีแค่ 10 คนเท่านั้นและใน 3 คนก็คือพ่อแม่ พ่อแม่ของผมและตัวผมเอง
ตอนแรกพ่อแม่ของผมก็ทำงานที่โรงงานนั่นแหละจากนั้นทั้งคู่ก็มองหางานใหม่ในขณะที่ทุกอย่างในเมืองนี้กำลังจะหยุดชะงักแล้วตอนนี้พวกเขาก็ได้ทำงานออนไลน์แล้ว ทำไมพวกคุณถึงไม่ย้ายออกไปบ้างล่ะ? พวกคุณคงสงสัยสินะคือมันค่อนข้างซับซ้อนน่ะผมคิดว่าพวกเขากลัวที่จะต้องเริ่มต้นอะไรใหม่ละมั้งอีกอย่างค่าครองชีพที่นี่ก็ไม่แพงแล้วผมเลยคิดว่าพวกเขาคงไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร แม้ว่าเราจะต้องเดินทางไปร้านขายของชำที่เมืองข้างๆ ก็ตามและก็เป็นสิ่งเดียวที่เราได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกและผมก็เรียนหนังสือเองอยู่ที่บ้าน
ดังนั้นผมก็ไม่ได้ใช้เวลากับคนรุ่นราวคราวเดียวกันเท่าไหร่ในทางเทคนิคแล้วมีคนอื่นอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยแต่ก็มีแค่ 2 ครัวเรือนเท่านั้นเองแล้วมันก็ตั้งอยู่ในส่วนอื่นของเมือง พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนแก่ที่ไม่สามารถย้ายออกไปไหนได้แล้วนั่นคือสิ่งที่ทำให้เหตุการณ์ต่อไปนี้น่าขนลุกมากขึ้นไปอีก เอาล่ะผมจะเล่าให้ฟังว่ามันเริ่มขึ้นยังไงเช้าวันหนึ่งผมออกไปที่ระเบียงหน้าบ้านเพื่อที่จะออกไปวิ่ง
ผมมองไปรอบๆ และผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่หน้าต่างชั้น 2 ของบ้านหลังที่อยู่ตรงข้ามถนน ผม..ผมมองออกว่าเขาเป็นใครแต่ดูเหมือนว่าเขามีใบหน้าเพียงครึ่งเดียวที่จ้องมองมาที่ผมช่วยเหลือใจเดียวที่ผมมองเห็นเขา ร่างนั้นก็รีบปิดม่านลงผมเปลี่ยนใจไม่ออกไปวิ่งมามันแล้ว และรีบเข้าไปเล่าให้พ่อฟังแทน ตอนแรกพ่อไม่เชื่อผมหรอกแต่แน่นอนเขายอมจะออกมาดูกับผม
ชายคนนั้นหายไปจากหน้าต่างแล้วแต่พ่อก็สังเกตเห็นว่ามีรถตู้สีดำเก่าๆ คันหนึ่งจอดอยู่ข้างบ้านแล้วขอบอกเลยว่าเราไม่เคยเห็นรถคันอื่นในเมืองนี้มาหลายปีแล้วเอาล่ะผมคิดว่าอย่างน้อยผีคงไม่ได้ขับรถตู้หรอกนะแต่ถ้าเป็นพวกฆาตกรต่อเนื่องล่ะก็ไม่แน่ พ่อผมไม่ได้สติแตกเหมือนกับที่ผมเป็นเขาเพิ่งเดินข้ามถนนแล้วไปเคาะประตูบ้านนั้นแต่ไม่มีใครสักคนออกมา เราไม่รู้จะทำอะไรต่อไป
นอกจากคอยเฝ้าระวังตัวและในช่วงบ่ายวันนั้นเองขณะที่เรากำลังออกไปที่ร้านขายของชำเราก็เห็นรถตู้คนนั้นจอดอยู่บนถนนใกล้กับบ้านหลังนั้นและสิ่งที่เราเห็นก็คือมีผู้ชายคนหนึ่งเดินถือกล่องออกมาจากรถตู้แล้วตรงเข้าไปในบ้านพวกเขาหันมาเห็นพวกเรา เขาก็เร่งฝีเท้าเดินเร็วขึ้นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผล คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลยไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไรก็ตามที่ผมได้ยินผมเอาแต่คิดว่ามันจะเป็นเสียงของผู้ชายที่มีใบหน้าครึ่งเดียวคนนั้นที่พยายามจะเข้ามาในบ้านของเราเพื่อมาดูดวิญญาณของเราทุกคน พอผ่านไปได้ 2-3 วันมันก็แย่ลงกว่าเดิมอีก
เราเริ่มสังเกตเห็นคนอื่นรอบๆบ้านหลังนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้หญิงผมยาวที่แบบว่ายาวอย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ แล้วก็มีเด็กๆ ที่ดูเหมือนจู่ๆ ก็โผล่มาแล้วจู่ๆ ก็หายวับไปอย่างนั้นพวกเขาสองคนดูเหมือนจะเป็นฝาแฝดกัน ทุกอย่างมันดูชัดเจนว่าประตูที่นำไปสู่อีกมิติหนึ่งได้เปิดขึ้นที่ถนนฝากตรงข้ามนั้นและสะท้อนภาพของคนตายจากอดีตให้ได้ปรากฏตัวขึ้นที่สนามหญ้าหน้าบ้านหลังนั้นอย่าถามนะว่าผมได้ความคิดพวกนี้มาจากไหนมันดูเหมือนเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนนั้น มีอีกอย่างหนึ่งก็คือเจ้าของบ้านคนเก่าเขาได้ถอดเอาผ้านม่านออกไปด้วยและสิ่งแรกที่ใช้คนนั้นทำก็คือติดผ้าม่านสีดำผืนหนาๆ ที่หน้าต่างซึ่งทำให้คุณมองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น
และเมื่อผมพยายามคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพยายามซ่อนเร้นมันอยู่ผมก็ขนหัวลุกแทบตายเป็น 2 เท่าเลยล่ะพ่อแม่ของผมและผมตัดสินใจที่จะเลิกสนใจพวกเขาสักพักเพื่อที่จะได้หยุดจินตนาการถึงเรื่องราวที่มันเหมือนหนังสยองขวัญงี่เง่า แบบที่ตัวละครในเรื่องมันจะตายแบบโง่ๆ อะไรทำนองนั้นสักทีละอย่างน้อยก็ยังไม่มีใครมาทำอะไรเราสักหน่อยและแน่นอนว่าเมื่อพ่อแม่ของผมออกไปนอกเมืองในวันถัดไปแล้วผมก็ระวังตัวอยู่ตลอดเอาจริงๆ ผมค่อนข้างสติแตกเหมือนกันผมจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่ฝั่งตรงข้ามถนน ชายผ้าพันแผลคนนั้นปรากฏตัวขึ้นที่หน้าต่างชั้น 2 หลายครั้งแต่เขาไม่ได้มองดูเราอีกต่อไปดูเหมือนว่าเขากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่กับคอมพิวเตอร์
ผู้หญิงคนนั้นขับรถตู้คันนั้นออกไปข้างนอกในช่วงเช้าแล้วเมื่อเธอกลับมาพระเจ้าช่วย!!! ผมจำได้ดีถึงความน่าสะพรึงนั้นขณะที่เธอกลับมาจอดรถตู้แล้วเปิดตู้หลังรถแล้วเธอก็หยิบถุงดําขนาดใหญ่ 2 ใบออกมาวางและ ผมสาบานได้สิ่งที่โผล่เอามาจากในถุงนั้นมันคือชิ้นส่วนเท้าของมนุษย์ผมช๊อกมาก ผมรีบไปที่โทรศัพท์เพื่อโทรหาตำรวจนี่มันเพียงพอแล้วแต่แล้วทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นที่หลังบ้านของเรา ผมไม่ต้องการที่จะไปดูและคิดว่าคุณคงเข้าใจว่าทำไมแต่ในวันนี้ผมถูกทิ้งให้อยู่บ้านเพื่อคอยเฝ้าระวัง ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่ผมต้องไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นผมถอนหายใจแล้วรีบไปที่ประตูหลังบ้านผมเปิดประตูออกไปผมก็เห็นเด็กผู้หญิงฝาแฝด 2 คนนั้นแล้วพี่ชายของเขากำลังวิ่งวนเป็นวงกลมเหมือนประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่างผมกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
แต่พวกเขากลับกลัวมากกว่าเมื่อเห็นผมเพราะเขาคิดว่าพวกเขาอยู่ในสวนหลังบ้านของบ้านร้างอีกหลังทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันชั่วขณะหนึ่งจากนั้นผมเลยพูดออกไปว่า “หวัดดี” จริงๆ แล้วผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อพบว่าเรื่องเล่าสยองขวัญทุกเวอร์ชั่นที่ผมมโนขึ้นมามันไม่เป็นความจริงพวกเขาเป็นเพียงครอบครัวปกติที่พ่อได้ประสบอุบัติเหตุร้ายเเรงบางอย่างจนทำให้ไม่สามารถทำงานได้และครอบครัวที่มีเด็ก 6 คนสูญเสียเงินทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่
พวกเขาจึงย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่ว่างอยู่ในเมืองร้านนี้เพื่อลดค่าครองชีพ พ่อของพวกเขาย้ายเข้ามาก่อนแล้วพวกเขาที่เหลือก็ย้ายตามมาได้ 2-3 วันต่อมา พวกเขาตั้งใจเลือกบ้านที่มีเพื่อนบ้านอยู่ใกล้ๆ เพราะเหมือนร้องๆ แบบนี้มันก็ค่อนข้างจะน่ากลัวแต่ด้วยความที่พ่อของพวกเขายังคงรู้สึกเขินอายกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ ดังนั้นเขาจึงพยายามหลบหน้าหลบตาพวกเราเขาเป็นช่างภาพที่ทำงานให้กับภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องและม่านนั่นก็คือสิ่งที่ใช้สำหรับการล้างฟิล์มนั่นเอง ส่วนแม่ของพวกเขากำลังพยายามที่จะเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าและเท้าที่ผมเห็นก็เป็นแค่หุ่นที่เธอต้องใช้ในการทำงานคอนเล็กชั่นแรกของเธอเท่านั้นตอนนี้ผมได้แต่ยิ้มให้กับตัวเองทุกครั้ง เมื่อคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ที่ผมได้มโนมันขึ้นมาในที่สุดครอบครัวของเราก็ได้รู้จักกันแล้วผมก็เดาว่าน่าจะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นด้วยผมหมายถึงผมเคยแต่เรียนหนังสืออยู่กับบ้านคนเดียวมาตลอดทั้งชีวิตแต่ตอนนี้ผมมีเพื่อนถึง 6 คนที่จะได้ใช้เวลาด้วยแล้ว
และนั่นคือเรื่องราวของผมขอบคุณที่รับชมและอย่าลืมที่จะเขียนในส่วนความคิดเห็นว่าคุณอาศัยอยู่ที่ไหนบ้างและกดติดตามช่องนี้เพื่อรับชมวิดีโออื่นๆ เพิ่มเติม