เวลาของเรื่องเล่า

แม่ของฉันกำลังหาผู้ปกครองคนใหม่ให้ฉันเพราะเธอจะเสียชีวิตในไม่ช้า

สวัสดีฉันชื่อ “ฟีบี้” อายุ 15 ไม่อยากจะตบตาพวกคุณได้น้ำเสียงที่ร่าเริงหรอกนะเพราะเรื่องของฉันมันทั้งเศร้าทั้งน่ากลัวแล้วก็แปลกพิลึกที่สุดกว่าใครเอาล่ะมันเป็นเรื่องที่แม่ของฉันตัดสินใจจัดฉากการคัดเลือกนักแสดงที่แสนประหลาดแบบที่เรียกว่าการค้นหาผู้ปกครองคนใหม่ให้ฉันเพราะเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นานนั้นเองทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากแค่ในวันนั้นวันที่แม่รู้สึกไม่ค่อยดีต่างจากวันอื่นๆ ก่อนหน้านั้นแม่ของฉันมันจะรู้สึกอ่อนเพลียและเวียนหัวอยู่บ่อยๆ ซึ่งค่อนข้างจะชินและคิดว่าคงไม่มีอะไรผิดปกติเท่าไหร่ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีทัศนคติแง่ลบกับหมอกับการไปคลีนิคแล้วก็ตรวจเช็คร่างกายและอื่นๆ สำหรับเธอแล้วกันรู้สึกไม่ค่อยดีนะมันไม่ใช่เหตุผลในการไปหาหมอ

เธอชอบแก้ปัญหาด้วยการทำแบบเดิมๆเป็นประจำคือเธอจะบอกว่าเธอเหนื่อยล้าแล้วก็ไปนอนพักผ่อนที่โซฟาแต่แล้วหลังจากผ่านไปสักระยะแม่ก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อปัญหาสุขภาพตัวเองได้อีกต่อไปเพราะเธอเริ่มเป็นลมและไม่มีเฉพาะแค่ตอนอยู่บ้านเท่านั้นแต่ยังรวมถึงที่ทำงานของเธอด้วยแม่ของฉันทำงาน”ฮเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวางและมีชั้นวางสินค้าตั้งอยู่อย่างซับซ้อนราวกับเขาวงกตแล้ววันนึงมีเหตุการณ์หน้าตื่นตระหนกเกิดขึ้นกับลูกค้าเมื่อพวกเขาเกือบจะเข็นรถเข็นทับตัวแม่ที่กำลังนอนหมดสติที่ฉันขายอาหารสัตว์เลี้ยงหัวหน้างานของเธอต่อว่าแล้วยืนกรานว่าเธอจะต้องไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพให้ได้ที่แม่ของฉันพยายามเลี่ยงการไปหาหมอไม่ใช่แค่เพราะว่าเธอไม่อยากไปนะแต่เป็นเพราะว่าเธอไม่ได้ต่ออายุประกันสุขภาพด้วย

แต่หัวหน้างานบอกว่าถ้าเธอยังขัดคำสั่งถึงต้องถูกไล่ออกแม่ก็เลยยอมไปและผลการทดสอบไม่ได้ออกมาแย่เท่านั้นแต่ตอนที่เราได้รู้ความจริงมันก็ทำให้ชีวิตของเราทั้งสองทลายมัน โอ้ มันยากเหลือเกินที่ฉันจะพูดถึงเรื่องนี้หมอตรวจพบเนื้องอกในสมองของแม่และเนื้องอกนี้ก็เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วก่อนที่แม่จะมีอาการเป็นลมบ่อยๆซะอีกและแม้ว่าเราจะรับทราบถึงปัญหานี้แล้วแม่ยังไม่ยอมไปหาหมออยู่เป็นเวลานานมากๆแล้วก็ไม่ยอมทำอะไรเลยตอนนี้มันสายเกินไปจะทำการผ่าตัดและสายเกินไปที่จะทำอะไรทั้งนั้นแม่ของฉันไม่สนใจเรื่องสุขภาพตัวเองมานานแล้วได้แต่เก็บเงินเอาไว้โดยไม่ยอมไปต่อประกันสุขภาพแล้วตอนนี้มันก็เลยเป็นเรื่องยากที่จะรักษาคุณเห็นไหมไม่มีอะไรเป็นไปได้เลยแม้แต่จะลองพยายามมันก็ไร้ประโยชน์สิ่งใดที่เราสามารถทำได้ก็คือพยายามประคับประคองรักษาแม่ไปตามอาการแต่การบำบัดนี้เจ็บปวดมากและต้องใช้เงินจำนวนมากหากไม่มีประกันชีวิต

ดังนั้นแม่จึงตัดสินใจว่าจะใช้เวลาที่เหลือน้อยลงไปทุกวันโดยการไม่ยอมนอนเป็นผักใบไร้สติติดเตียงในโรงพยาบาลแบบนั้น โอ้ พระเจ้าจากที่ได้ฟังคุณลองจินตนาการดูสิว่าฉันจะใช้ชีวิตต่อไปกับมันยังไงหลังจากที่แม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความเจ็บป่วยอันน่ากลัวของตัวเองแม่ก็สิ้นหวังในชีวิตอย่างมากแต่ก็แค่เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพราะหลังจากนั้นเธอก็ใจเย็นขึ้นอย่างน่าประหลาดมิหนำซ้ำยังร่าเริงขึ้นอีกด้วยเธอเริ่มแต่งตัวสวยกว่าที่เคยมีกำลังใจและมีความสุขที่จะไปทำงานอย่างที่เธอตัดสินใจไว้แล้วว่าเธอจะทำงานจนกว่าจะทำไม่ไหวแล้วทุกอย่างก็ดีขึ้นไปหมดถ้ามีขวัญกำลังใจที่ดีมากแต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจโดยเฉพาะฉันยังไม่รู้อีกหนึ่งปัญหาที่อยู่ในใจแม่คืออะไรพวกเราไม่มีญาติพี่น้องเลยฉันไม่เคยรู้ว่าพ่อเป็นใครและตากับยายของฉันก็เสียชีวิตตั้งแต่ฉันยังเด็กและดูเหมือนว่าถ้าแม่ของฉันไม่อยู่แล้วฉันต้องไปอยู่ภายใต้การดูแลของนักสังคมสงเคราะห์แต่แม่ของฉันเชื่อใจนักสังคมสงเคราะห์น้อยกว่าหมอซะอีกดังนั้นเธอก็เลยตัดสินใจว่าเธอจะวางแผนอนาคตให้กับฉันในขณะที่นักเรียนสามารถทำได้และเธอก็จัดการทำมันได้อย่างแปลกพิสดารทีเดียว

จู่ๆแม่ก็เชิญเพื่อนร่วมงานที่ชื่อ “เทรเวอร์” มาทานอาหารค่ำในคืนวันศุกร์ด้วยกันตอนแรกฉันก็ยังไม่นึกสงสัยอะไรนะว่ามันจะดูแปลกๆก็ตามเพราะปกติพวกเรามันจะทานอาหารด้วยกันแค่สองคนไม่เคยเชิญเพื่อนหรือใครก็ตามมาที่บ้านเลยแต่มาวันนี้เรากำลังรอต้อนรับชายคนนึงที่ฉันไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อเขามาก่อนอย่างไรก็ตามวันนั้นผ่านไปด้วยดีแม่ฉันทำอาหารได้อร่อยแม้ว่าปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องอาหารการกินของเราเท่าไหร่ก็ตามชายที่ชื่อ “เทรเวอร์” แม้ว่าเขาจะแต่งกายไม่ค่อยเรียบร้อยแต่ก็เป็นคนดีทีเดียวแย่หน่อยที่เป็นคนไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลยเขาไม่พูดอะไรที่ฟังดูตลกๆแม้แต่นิดเดียวแม้ว่าแม่พยายามสร้างบรรยากาศให้ดูเป็นกันเองแล้วก็ตามเพราะเธอไม่อยากให้พวกเราจะพูดเรื่องอาการป่วยของเธอเขากลับไปหลังจากที่ปล่อยให้ฉันต้องทนกับความแปลกของตัวเขาอยู่นานสองนานแล้วมันก็ยิงคำถามให้ฉันต้องช็อกไปเลย “ฟีบี้” ลูกรักหนูว่าดีไหมถ้า  “เทรเวอร์” จะมาเป็นพ่อของหนู

ฉันไม่รู้ว่าจะตอบว่าดีหรือไม่ดีเพราะว่า อึ้งจนพูดอะไรไม่ออกและแม่ของฉันก็ยังพูดชัดเจนขึ้นอีกว่า  “เทรเวอร์” เป็นคนที่สามารถดูแลฉันได้และเมื่อนานมาแล้วเขาก็เคยมีความรักให้กับแม่ยังไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทนฉันหมายถึงกับแม่ของฉันเนี่ยนะแต่แล้วก็ไม่รู้ว่ามีมาดลใจเธอเข้า จู่ๆเธอก็พูดขึ้นมาว่าไม่ๆลืมเรื่องนี้ไปซะมันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าจริงๆแล้วก็เสริมต่อขึ้นมาว่าศุกร์หน้าเธอจะต้องทำได้ดีกว่านี้แน่นอนและคุณรู้ไหมเธอตัดสินใจทำอะไรลงไปตลอดทั้งสัปดาห์ฉันพยายามไม่พูดเรื่องนี้เพราะฉันกังวลว่ามันอาจทำให้เธออารมณ์เสียได้คุณคงจะจินตนาการไม่ออกหรอกว่าคนที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนั้นจะมีความรู้สึกยังไงและฉันยังไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่ใกล้ตัวฉันดังนั้นฉันจึงยอมที่จะหลีกเลี่ยงการโต้แย้งและพยายามรับมือกับความคิดแปลกๆ ของแม่ด้วยความเข้าใจ

ดังนั้นแขกรับเชิญมื้อค่ำของเราในครั้งนี้คือคุณนาย “เกรกกี้” เธออาศัยอยู่ในบ้านหลังสุดท้ายในบล็อกของเราแล้วก็เป็นที่รู้กันดีในย่านนี้ว่าเธอไม่มีครอบครัวและอาศัยอยู่กับฝูงแมวจำนวนมากที่อยู่ที่สวนหลังบ้านมีจำนวน 15 หรือ 16 ตัวนี้แหละแน่นอนว่าฉันรู้สึกสนใจมากว่าทำไมหญิงที่มีอายุมากแต่ยังคงดูแข็งแรงคนนี้ถึงได้แวะมาหาเราที่บ้านฉันได้แต่หวังว่าแม่คงจะไม่ถามคุณ “เกรกกี้” ว่าถ้ามีตะกร้าสำรองสำหรับสัตว์เลี้ยงอีกตัวที่ชื่อว่า “ฟีบี๋” หรอกนะแม่ดูสุขุมและพยายามเรียบๆเคียงๆ ถามคำถามผ่านการสนทนาในตอนแรกเธอพยายามหาคำตอบว่าคุณนาย “เกรกกี้” ป็นหม้ายจริงหรือเปล่าเพราะเธอได้ยินข่าวลือซุบซิบมาบ้างจากเพื่อนบ้านคุณนาย “เกรกกี้” กลับมีท่าทีไม่พอใจกับคำถามและพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยแต่ฉันคิดว่าเพื่อนบ้านของเราคนนี้คงจะรู้ดีแล้วว่าทำไมเธอจึงถูกเชิญมาในวันนี้

เธอๆกินพายและจิบชา ช้าๆและดูครุ่นคิดจากนั้นเธอก๋ถามคำถามมากมายเกี่ยวกับตัวฉันโดยล้วนแต่มีใจความสำคัญกับเรื่องความขยันและทักษะการทำงานบ้านของฉันแน่นอนฉันไม่ใช่คนขี้เกียจแล้วมักช่วยเหลืองานบ้านแม่เสมอด้วยเหตุผลบางอย่างมันทำให้ฉันไม่ต้องการที่จะตอบคำถามของคุณนาย “เกรกกี้” แต่แม่กลับกล่าวชื่นชมการทำงานของฉันและดูเหมือนเกือบจะตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้วก่อนที่คุณนายกล้วยที่จะถามขึ้นว่า “ฟีบี๋” มีประสบการณ์ในการดูแลสัตว์มาก่อนบ้างหรือเปล่าหลังจากนั้นฉันคิดว่าแม่คงจะรู้ทันว่าเธอคนนี้แค่ต้องการหาใครสักคนมาทำงานรับใช้ที่สวนสัตว์ของเธอเท่านั้นและไม่นานหญิงหม้ายคนนี้ก็ถูกส่งตัวกลับบ้านไป 

1 สัปดาห์ผ่านไปและฉันก็กำลังกลัวว่าใครกันจะมาเป็นแขกคนถัดไปของแม่ในภารกิจการคัดตัวเพื่อเป็นผู้ปกครองของ  “ฟีบี๋”  และในวันศุกร์ถัดมาแม่กลับมาจากที่ทำงานต้องช้าเกือบจะโล่งใจและเชียวว่าศุกร์นี้จะเป็นสุขสงบสุขแต่ความสงบสุขไม่มีอยู่จริงเสียงกริ่งประตูดังขึ้นแม่ของฉันเข้ามาในบ้านพร้อมกับผู้สูงอายุ 2 คนซึ่งเป็นคู่สามีภรรยากันวิชาฉันก็ได้รู้จักการแนะนำตัวว่าพวกเขาคือคุณและคุณนาย “โรเจอร์” คุณคงนึกไม่ออกเลยว่าฉันต้องประหลาดใจแค่ไหนที่รู้ว่าแม่ของฉันเพิ่งจะรู้จักพวกเขาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงก่อนหน้านี้เองคุณและคุณนาย “โรเจอร์” ได้มาซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตของแม่และพวกเขาก็ได้รับรู้เรื่องราวของพวกเราครอบครัวจะรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับแม่ของฉันและอาสาที่จะช่วยเหลือเราจากนั้นแม่ก็เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้สมัครที่ดูมีศักยภาพดีพอจะดูแลฉันได้และประการสำคัญคือสองคนนี้รวยมากๆ

พวกเขามีเงินและอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่อย่างเดียวดายฉันถามครอบครัว “โรเจอร์” อย่างสุภาพว่าทำไมพวกเขาอยู่กันแค่ตามลำพังเขาตอบอย่างเศร้าสร้อยว่านานมาแล้วพวกเขาเคยมีลูกสาวแต่เธอเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยแล้วก็เขาไม่สามารถมีลูกได้อีกหลังจากนั้นเรื่องราวของครอบครัวเรา “โรเจอร์” มันกินใจเราทั้งคู่มากจนฉันเริ่มคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นความคิดที่ไม่เลวนักพวกเขาสูญเสียลูกสาวไปแล้วฉันก็กำลังจะสูญเสียแม่บางทีพวกเราจะช่วยกันก้าวผ่านเรื่องราวแสนเศร้าเหล่านี้ไปได้และกลับมามีความสุขกันอีกครั้งแต่แล้วเมื่อคุณนาย “โรเจอร์” ถามฉันว่าจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะเปลี่ยนชื่อจาก  “ฟีบี๋”  เป็น “ริบบี้” เพราะนั้นเป็นชื่อลูกสาวของเขาที่เสียชีวิตไปแล้วทุกอย่างก็จบลงทันทีและแม่ของฉันก็ลงความเห็นว่าคู่สามีภรรยาที่ดีคู่นี้ถูกคัดออกอย่างเป็นทางการละ

หลังจากนั้นก็ตัดสินใจว่าฉันพอแล้วสำหรับเรื่องนี้ฉันต้องพูดกับแม่เพื่อให้เธอหยุดค้นหาคนมาดูแลฉันสักทีแต่ฉันก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนก็เลยไปหาครูที่โรงเรียนคุณครู “กรีน” คุณครูที่ฉันสนิทสนมด้วยมานานละแต่ฉันไม่เคยเล่าเรื่องนี้เธอฟังบางทีนี่อาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วก็ได้คุณครู “กรีน” เข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดีแล้วตกลงจะมาเยี่ยมพวกเราที่บ้านแล้วคุยกับแม่ของฉันเนื่องจากวันนั้นเป็นวันหยุดของเธอพอดีและคุณรู้ไหมว่าเราเจอกับอะไรบ้างเมื่อมาถึงบ้านแม่ของฉันเริ่มจัดระเบียบข้าวของและแปะมาด้วยสติ๊กเกอร์ที่ระบุว่าอะไรจะตกเป็นสมบัติของใครบ้างอย่างเช่นนี้สำหรับลูกสาวของฉัน “ฟีบี้” นี่สำหรับเพื่อนร่วมงานนี้เพื่อการกุศลฉันว่ามันช่างดูน่าขนลุกจริงๆแน่นอนว่าคุณครู “กรีน” และชั้นพากันห้ามเธอไม่ทำแบบนั้นและนี่อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเข้าใจแม่อย่างแท้จริงว่าแม่ต้องรู้สึกหวาดกลัวแค่ไหนไม่ใช่เพราะด้วยอาการป่วยของเธอแต่ด้วยสิ่งที่อยู่ลึกๆข้างในใจต่างหากฉันรู้สึกละอายใจเหลือเกินที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเข้าใจแม่เลยและยังไม่สามารถหาคำให้กำลังใจและทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นได้ส่วนคุณครูเธอทำให้ดีกว่าฉันเธอพูดกับแม่ด้วยการสนทนาแบบเปิดใจ แม่ฉันร้องไห้ยอมรับว่าเธอกลัวจะต้องตายมากๆฉันกอดแน่นพร้อมกับครูพวกเราคุยกันว่าแม่ไม่จำเป็นต้องไปหาผู้ปกครองให้ฉันอีกต่อไปแล้วระหว่างฉันกับแม่ฉันไม่รู้ว่าเราจะเหลือเวลาด้วยกันอีกนานแค่ไหนแต่ตอนนี้ฉันพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ช่วงเวลาสุดท้ายของเธอมีความสุขมากขึ้นและพยายามทำให้แน่ใจว่าเธอไม่ต้องเป็นกังวลใดๆเพราะว่าสิ่งที่เธอต้องการที่สุดคือการเสนอของฉัน

พวกเราจึงตัดสินใจกันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคุณครู “กรีน” ของฉันจะเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอและนั่นมันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากและไม่ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด 

เรื่องเล่าที่เกี่ยวข้อง

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments
Back to top button
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x

ปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณา

กรุณาปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณาก่อนนะ เพราะเว็บจะอยู่ได้ก็จากป้ายโฆษณา