ครอบครัว

ฉันบอกน้องชายว่าเขาเป็นเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยงเพื่อแกล้งเขาแต่นั่นเป็นเรื่องจริง!

สวัสดีฉันชื่อ “เอมม่า” ฉันมีคำถามนึงจะมาถามพวกคุณคุณเชื่อเรื่องการโกหกที่หวังดีไหมเรื่องก็คือไม่นานมานี้ฉันเพิ่งทำเรื่องยุ่งดังนั้นตอนนี้ฉันเลยต้องโกหกน้องชายฉันและไม่แน่ใจเลยว่าฉันทำทุกอย่างถูกต้องหรือเปล่าบางทีพวกคุณอาจจะบอกฉันได้นะว่าฉันต้องทำอะไรเมื่อฉันอายุ 5 ขวบครอบครัวของฉันประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้กับใครสักคนบนโลกเราสูญเสีย “แอนโทนี่” น้องชายของฉันไปฉันไม่อาจพูดได้ว่าจำรายละเอียดทุกอย่างได้หมดบางทีอาจจะเพราะอย่างที่คนเขาพูดกันหน่ะ ความทรงจำของเด็กๆจะลบเรื่องแย่ๆและทุกสิ่งออกไป

แต่ฉันยังจำบางอย่างได้อย่างเช่นแม่ฉันพยายามหนักแค่ไหนสำหรับการตั้งครรภ์แน่นอนบนเตียงเกือบจะตลอดเวลาอยู่บ้านหรือไม่ก็อยู่โรงพยาบาลถึงฉันจะยังเล็กมากฉันก็ยังช่วยพ่อดูแลแม่แล้วตอนนั้นเองก็มีอาการแทรกซ้อนบางอย่างเกิดขึ้นหลังจากที่เด็กเกิดมาฉันเกือบเสียแม่ของฉันไป โอ้เป็นเรื่องยากมากๆที่จะนึกทุกอย่างให้ออกจากนั้นแม่ก็บอกว่า “แอนโทนี่” จะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปีแล้วเราจึงสูญเสียเขาในอีก 9 เดือนต่อมา โอ้พระเจ้่าทุกคนต่างโศกเศร้าเสียใจคุณนึกภาพได้เลยว่ามันยากและไม่ยุติธรรมสำหรับเราแค่ไหนถึงเราพอจะเตรียมตัวเตรียมใจกับการเสียชีวิตของเขาเอาไว้แล้วก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่เราจะพร้อมรับมือขนาดนั้นหลังจากนั้นแม้ฉันไม่อาจมีลูกได้อีก แต่เมื่อเวลาผ่านไปพ่อแม่ฉันจึงตกลงกันว่ามันคงจะดีสำหรับฉันถ้าฉันมีน้องชายดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจรับอุปการะเด็กคนหนึ่งในตอนที่ฉันอายุได้เรา 7 ปีและนั่นคือจุดที่เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจริงๆ

“ริกกี้” นั่นคือชื่อน้องชายคนใหม่ของฉันอายุแค่ 2 ขวบในตอนที่พ่อแม่ฉันพาเขามาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและมาที่บ้านเพื่อนในวินาทีที่ฉันเห็นเขาฉันก็รู้เลยว่าเด็กนั้นต้องมีอะไรสักอย่างผิดปกติหมายถึงเขาดูไม่ชอบฉันเอาซะเลยและเขายังเอาแต่ทำให้ฉันเจ็บตัวเวลาที่ไม่มีใครดูแลเขาอย่างเขาจะเอานิ้วจิ้มตาฉันพยายามดึงผมฉันไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันอยู่ใกล้ๆหรือพยายามจะปัดจานข้าวฉันเวลาที่เอื้อมมือถึงและไม่ว่าตอนไหนที่ฉันพยายามจะบ่นเรื่องพฤติกรรมของเขาพ่อกับแม่ก็จะบอกว่าฉันต้องมีความอดทนมากกว่านี้ในเมื่อฉันอายุมากกว่าโน่นนั่นนี่นั่นจึงเป็นเหตุให้สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือรอจนกระทั่งเขาโตขึ้นและคิดว่านะเขาจะรู้เรื่องมากขึ้น อะไรๆไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักในตอนที่เราโตขึ้นแน่ล่ะเขาไม่อาจกัดฉันหรือทำอะไรแบบนั้นได้อย่างที่เคยทำตอนเป็นทารกแล้วแต่ฉันก็ยังคงไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆจากพ่อแม่พวกเขาแค่รัก “ริกกี้” นั่นอาจเป็นเพราะเขาเป็นเด็กดีมากจริงๆสำหรับพ่อแม่

เขาเรียนได้ดีจะไม่มีใครบ่นเรื่องของเขาเลยนอกจากฉันอย่างที่คุณได้ฟังแล้วและพ่อแม่ของเราอาจคิดว่าเป็นแค่เรื่องปกติในความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวน้องชายเหมือนอย่างที่พวกเขาทะเลาะแล้วตะโกนใส่กันอะไรแบบนั้นน่ะหรือบางทีเขาอาจจะคิดว่าฉันอยู่ในช่วงวัยรุ่นแรกคิดว่าไม่ยุ่งจะดีกว่าใครจะรู้ล่ะฉันจะยกตัวอย่างให้ฟังนะเพื่อที่พวกคุณจะได้ไม่คิดว่าฉันพูดเว่อร์ไปเองครั้งหนึ่งในตอนที่ฉันอายุ 13 ปีคิดว่านะซึ่งนั่นหมายถึง “ริกกี้” ต้องอายุราวๆ 8 ขวบเจ้าเด็กซุกซนนั่นแอบเข้ามาในห้องตอนที่ฉันอาบน้ำอยู่ฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากแลปท๊อปของฉันแต่พอฉันกลับมาในห้องฉันเค้าดูแอ๊คเคาร์โซเชียลมีเดี่ยของฉันอยู่ฉันเริ่มร้องตะโกนอะไรสักอย่างเช่น แม่และพยายามจับเขาแล้วพูดกันตรงๆ ฉันอยากตีเค้า เค้ารีบปิดแลปท๊อปของฉันอย่างรวดเร็วและแรงจนหลังจากนั้นฉันไม่อยากเปิดพื้นที่อีกแน่นอนว่าหลังจากนั้นเขาแต่งเรื่องให้พ่อแม่ฟังด้วยการบอกว่าเขาแค่อยากปริ้นอะไรสักอย่าง ซึ่งฉันเป็นคนเดียวที่เชื่อมต่อกับเครื่องพิมพ์ได้แล้วฉันก็ไม่ให้เขาใช้นั่นก็เลยทำให้เขาตัดสินใจแอบใช้บลาๆๆ อย่างนั้นแหละ

ไม่เพียงแค่ฉันต้องถูกปล่อยไว้โดยไม่มีคอมพิวเตอร์แต่ยังต้องนั่งฟังพ่อและแม่อบรมอีกฐานที่ทรมานน้องชายตามที่พวกเขาเรียกคุณนึกภาพออกหรือยังพวกเขาคิดว่าฉันทำให้เขาตกใจมากเขาก็กลัวมากเมื่ออยู่ๆฉันจับได้ว่าเขาอยู่ในห้องและอีกหนนึงฉันกลับมาบ้านหลังจากที่ออกไปข้างนอกกับเพื่อนฉันพบ “ริกกี้” กับเพื่อนงี่เง่าของเขาอยู่ในห้องฉันลองนึกภาพสิพูดเขากำลังใส่ชุดฉันจะทำเครื่องสำอางค์บางอย่างของฉันเสียหาย โอ๊ยแน่ล่ะครั้งนี้เขาไม่อาจหาข้ออ้างดีๆมาใช้ได้และแม่ก็กักบริเวณเค้า แต่ฉันก็คิดอยู่ดีว่าแค่ 1 สัปดาห์ที่ห้ามเล่นเกมส์นั้นยังไม่พอโดยเฉพาะเมื่อต้องนับรวมว่าหลังจากนั้นฉันต้องซื้อเครื่องสำอางค์ใหม่ด้วยเงินค่าขนมของฉันเอง คุณรู้ไหมตอนที่พ่อแม่ฉันรับอุปการะ “ริกกี้” พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องที่เขาถูกรับมาเลี้ยงอย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะโตขึ้นแต่แน่ละชั้นต้องรู้เรื่องนี้แล้ว

ครั้งหนึ่งเขาก็แกล้งฉันหนักมากซะจนฉันไม่อาจจะระงับคำพูดของตัวเองได้ตอนนั้นเป็นคืนอาหารมื้อค่ำของครอบครัวพ่อแม่ฉันเชิญเพื่อนจำนวนหนึ่งมากินข้าวกับเรา “ริกกี้” ทำให้ฉันรำคาญมาตั้งแต่เริ่มเหมือนทุกทีแล้วพอถึงจุดหนึ่งแม่ขอให้ฉันไปช่วยเสิร์ฟเป็ดที่แม่ทำฉันเดินเข้าไปในห้องกินข้าวพร้อมจานอาหารที่ทั้งใหญ่และหนักและ “ริกกี้” ก็คิดว่าก็คงสนุกดีที่ได้แกล้งขัดขาฉันแน่ละว่าฉันต้องไม่เห็นฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเพราะจานใบใหญ่และเป็ดก็กลิ้งตกไปใต้โต๊ะแล้วทุกคนก็แบบ โอ้พระเจ้าเกิออะไรขึ้นพ่อของฉันทำหน้าว่า ว่าแล้วผมควรไปยกมาเองแล้ว “ริกกี้” ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่เกี่ยวด้วยนั่นแหละฉันก็แค่รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ยุติธรรมอะไรขนาดนี้แบบที่ถ้าย้อนกลับไปหมายถึงว่านี่เป็นอีกครั้งที่ยังไม่มีใครสังเกตเห็นว่า “ริกกี้” แอบทำร้ายฉันแล้วครั้งนี้ยังเจตนาทำให้ฉันสะดุดล้มฉันเริ่มตะโกนและต่อว่าเขาและเขาก็เริ่มพูดทำนองว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลยแต่เด็กเวรจอมโกหกและฉันก็โกรธมากจนพูดไปว่าพ่อแม่ฉันควรจะเลือกเด็กคนอื่นจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

ทุกคนเงียบกริบแล้วตอนนั้นฉันเองก็รู้สึกราวกับโลกทั้งใบค่อยๆปริร้าวและชีวิตของคนในครอบครัวทั้งหมดก็กำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆแขกของเรารีบกลับไปทันทีหลังจากนั้นต้องใช้เวลาอีกนาทีนึงแต่ “ริกกี้” เข้าใจว่าฉันไม่ได้ล้อเล่นที่บอกว่าเขาเป็นเด็กที่รับมาเลี้ยงเขาจึงวิ่งหนีขึ้นไปชั้นบนแม่ชั้นตามไปและพ่อมองฉันด้วยแววตาผิดหวังอย่างร้ายแรงยิ่งกว่าก่อนหน้า แน่ละฉันเสียใจกับคำพูดและทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองทันทีแต่เสียดายที่ไม่มีทางที่ฉันจะแก้ไขสิ่งที่ทำไปได้เลยไม่จำเป็นต้องคุยอะไรจริงจังกับพ่อแม่ฉันอีกหลังจากคืนนั้นฉันพยายามจะบอกว่าฉันเสียใจแค่ไหนแต่พวกเขาไม่ต้องการได้ยินอะไรทั้งนั้นและแม่ฉันทำเหมือนกำลังจะร้องไห้แล้วพ่อเขาแค่มองผ่านฉันไปแล้วเงียบในตอนที่ฉันขอให้พวกเขายกโทษให้พูดกันตามตรงนะฉันรู้ว่าฉันทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงและไม่มีทางที่จะกอบกู้สถานการณ์ได้เลยฉันรู้ว่าฉันต้องพูดกับ “ริกกี้” ด้วยตัวเองหมายถึง ถึงเขาจะทำให้ฉันรำคาญเป็นส่วนใหญ่เขาก็ยังเป็นน้องชายของฉันและเป็นเด็กที่เพิ่งพบว่าครอบครัวของเขาโกหกเขามาตลอดหลายปีมานี้

นั้นไม่ใช่การคุยกันที่ง่ายเลยระหว่างเราแน่นอนฉันเป็นคนพูดส่วนใหญ่และ “ริกกี้” แค่นั่งอยู่บนเตียงมองออกไปนอกหน้าต่างแต่สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดจริงๆ คือ “ริกกี้” ไม่ได้ร้องไห้หรืออะไรเลยเขาสงบเศร้าเอามากๆ  แต่สงบแล้วพอเขามองมาที่ฉันดูเหมือนเขาจะอายุมากกว่าฉันที่อายุ 16 ปีซะอีกถึงเขาจะเพิ่งอายุแค่ 11 ปีฉันบอกเขาว่าฉันเสียใจแค่ไหนแล้วเขาบอกว่าเขายังคงมองฉันเป็นพี่สาวของเขาแต่ว่านั่นทำให้ฉันถึงกับร้องไห้ครั้งนี้ฉันถึงรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันมากที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วถึงที่จริงเราจะไม่ได้เกี่ยวพันกันโดยสายเลือดจริงๆ ก็ตามหลังจากการคุยกันครั้งนั้นทุกสิ่งในครอบครัวของเราก็เปลี่ยนไปพ่อแม่ของเราระมัดระวังอย่างมากเวลาคุยกับ  “ริกกี้”  บางทีอาจจะเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องตอบสนองอย่างไร ฉันก็ไม่รู้สิแล้วจากนั้นหลังจากผ่านไปไม่กี่วันนับตั้งแต่มื้อค่ำที่น่าสลดครั้งนั้น “ริกกี้” ก็มาเคาะประตูห้องฉันเขาไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลยคุณรู้ไหมและนั่นก็มีความหมายด้วยเขาขอให้ฉันช่วยหาพ่อแม่ที่แท้จริงแต่นั่นหมายถึงพ่อแม่เราจะต้องไม่รู้

เห็นได้ชัดว่าฉันไม่ควรทำแบบนี้แต่ฉันก็ไม่อาจปฏิเสธเขาได้เช่นกันโดยเฉพาะเมื่อฉันมองเข้าไปในตาของเขาดังนั้นฉันก็เลยสัญญากับเขาว่าฉันจะทำให้ดีที่สุดและเห็นประกายแห่งความหวังในดวงตาของเขาแบบนั้นแหละและกระทั่งความรู้สึกชื่นชมจากใจฉันใช้เวลาแบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน 2 คืนเพื่อพยายามค้นหาว่าฉันควรทำอะไรดีเห็นได้ชัดว่าฉันไม่มีทางเข้าถึงฐานข้อมูลหรืออะไรพวกนั้นเพื่อหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาพูดกันตรงๆ ฉันยังสงสัยด้วยว่ามีอยู่หรือเปล่าแล้วฉันก็มั่นใจมากว่าทั้งพ่อและแม่ฉันจะต้องไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครหรือแม้แต่จะมีทางได้พบกับพวกเขาในสักวันหรือไม่ฉันเลยคิดอะไรไม่ออกนอกจากการสร้างตัวตนปลอมๆขึ้นมา 2 คนบอกว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของน้องชายฉันทำเป็นว่าทั้งสองคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาและทั้งคู่ก็เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าระหว่างโครงการทดลองที่สำคัญมากๆในป่าที่ออสเตรเลียและนับแต่นั้นตามเรื่องเล่าที่ฉันปั้นแต่งขึ้น “ริกกี้” ไม่มีญาติคนอื่นที่มีชีวิตอยู่แล้วเลยเขาจึงถูกส่งไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งเราโชคดีพอที่จะหาเขาพบฉันยังบอกด้วยว่าทันทีที่พ่อแม่ฉันเห็นเขาก็รักเขาหมดหัวใจและฉันก็เหมือนกัน

ส่วนนี้ฉันเดาว่าเป็นจุดที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุดแล้ว โอ้คุณต้องเห็นว่าเขาภูมิใจแค่ไหนหลังจากนั้นเมื่อคิดว่าเขาเป็นลูกชายของคนที่โดดเด่น 2 คนไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ภูมิใจในตัวพ่อแม่ของเราซึ่งเป็นศาสตร์อาจารย์ในมหาวิทยาลัยย่านนั้นแต่นับตั้งแต่ที่เราคุยกันคราวนั้นฉันมอง “ริกกี้” และสังเกตเห็นว่าเขามองฉันต่างออกไปดูเหมือนจะมีแต่ความรู้สึกว่าฉันเป็นคนที่สำคัญต่อเขามากๆ บนดาวดวงนี้ฉันคิดว่านะเราทั้งคู่ไม่เคยพูดเรื่องที่เราคุยกันตอนนั้นอีกเลยแล้วเราก็ไม่พูดอะไรกับพ่อแม่ของเราด้วยไม่นานชีวิตของเราก็กลับสู่สภาวะปกติเว้นอย่างเดียวคือ “ริกกี้” เลิกแกล้งฉันแล้วเริ่มแสดงความสนใจอย่างมากในพืชและสัตว์บนทวีปออสเตรเลีย

ตอนนี้ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าพวกคุณคิดยังไงกับคำโกหกของฉัน ฉันทำถูกหรือเปล่าแบบว่าเรื่องพ่อแม่หลอกๆ และอะไรพวกนั้นน่ะแบ่งปันความคิดของคุณในช่องคอมเม้นและอย่าลืมกดติดตามช่องนี้นะ 

เรื่องเล่าที่เกี่ยวข้อง

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments
Back to top button
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x

ปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณา

กรุณาปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณาก่อนนะ เพราะเว็บจะอยู่ได้ก็จากป้ายโฆษณา