พ่อแม่ของผมทิ้งผมไว้ตามยถากรรม แต่ผมอยู่รอดและกลายเป็นดารา
สวัสดีทุกคนชีวิตในวัยเด็กของผมอาจทำให้คุณต้องตกใจแต่ในขณะเดียวกันมันอาจช่วยให้คุณเปลี่ยนความคิดที่ว่าชีวิตของคุณมันลำบากแค่ไหนและเมื่อคุณพร่ำบ่นหรือน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาตัวเองคุณจะต้องจำไว้เสมอว่ายังมีคนอีกมากมายในโลกนี้ที่ลำบากมากกว่าคุณแต่คุณยังสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยการกำหนดทางเดินชีวิตของตัวเองและบางทีคุณอาจจะพอมีโชคอยู่บ้างเอาล่ะมาฟังเรื่องราวของผมกัน
ผมขอเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ชีวิตของผมเริ่มลืมตาดูโลกแน่นอนผมจำอะไรในตอนนั้นไม่ได้หรอกแต่พอหลังจากที่ผมรู้ความจริงผมก็รู้สึกทั้งมีความสุขและเศร้าในเวลาเดียวกันแล้วคุณจะเข้าใจว่าเพราะอะไรขอให้ผมอธิบายให้คุณฟังคุณรู้ไหมครอบครัวของผมยากจนมากตอนที่ผมเกิดพ่อกับแม่ของผมไม่มีแม้กระทั่งเงินที่จะจ่ายให้กับหมอคนที่ทำคลอดให้ผมคุณจินตนาการออกไหมแล้วคุณรู้หรือเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อไปหมอคนนั้นเสนอให้พ่อแม่ผมทิ้งผมไว้กับเขาแทนเงินที่จะต้องจ่ายในการทำคลอดผมจินตนาการออกว่าจะทำอะไรกับทารกแรกเกิดอย่างผมแต่โชคดีที่พ่อของผมพยายามหาเงินแล้วกูยืมเงินรวบรวมทุกบาททุกสตางค์จนกระทั่งครบตามจำนวนที่ต้องจ่ายให้กับผม
ผมเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและเพื่อใช้พลังเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์พ่อของผมจึงปลุกให้ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เราฝึกกังฟูด้วยกันและเค้ายังสอนให้ผมหัดทำกายกรรมง่ายๆ เช่นตีลังกา และโดดพลิกหลัง แต่เมื่อทักษะการต่อสู้และการแสดงกายกรรมของผมเริ่มพัฒนาดีขึ้นทักษะการเรียนของผมกลับแย่ลงผมมีความบกพร่องด้านความจำและไม่สามารถแม้กระทั่งเขียนคำให้ถูกต้องได้ดังนั้นผมจึงสอบตกในปีแรกของการเข้าโรงเรียนประถมกระทั่งเพื่อนเป็นชั้นประถมที่ 3 แล้วผมก็ยังคงตามหลังพวกเขาอยู่และด้วยเหตุนี้จึงทำให้พ่อของผมตัดสินใจที่จะส่งผมเรียนการแสดงที่โรงเรียนการละครท้องถิ่นแทนมันฟังดูเชื่อใช่ไหมผมยังคงจำได้ไหมวันแรกที่เดินเข้าไปในห้องโถงเก่าๆ ของโรงเรียนได้อยู่เลย
ผมกุมมือพอนั่นแต่แล้วความกลัวของผมก็หายไปเมื่อผมมองเห็นเด็กมากมายทั้งรุ่นเดียวกับผมและแก่กว่าพวกเขากำลังซ้อมตีลังกาและพร้อมใช้ดาบและไม้นี่มันดิสนีย์แลนด์สำหรับผมชัดๆมันเหมือนเป็นโลกแห่งเวทมนตร์ของผมเอง ผมจึงรีบปล่อยมือพ่ออย่างรวดเร็วและวางฝ่ามือเล็กๆ ไว้ในมือของท่านอาจารย์คนใหม่ของผมแต่เวทมนตร์นั้นมันก็หายไปในไม่ช้าและสีสันที่แท้จริงของสถานศึกษาแห่งนี้ก็เริ่มปรากฏออกมาผมได้รู้ความจริงในภายหลังว่าเด็กที่ลงทะเบียนเรียนกับโรงเรียนนี้จะต้องทำสัญญาระหว่างผู้ปกครองกับฝ่ายบริหารขึ้นมาตามข้อตกลงโดยมีการลงนามทั้งสองฝ่าย ใจความสำคัญข้อหนึ่งในสัญญาคือผู้ปกครองจะไม่เอาความใดๆ ในกรณีที่บุตรของพวกเขาได้รับบาดเจ็บหรือแม้แต่เสียชีวิตพ่อแม่ของผมก็ลงนามในข้อตกลงนี้เช่นเดียวกับผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ ที่โรงเรียนไม่มีปฏิหารใดๆ ทั้งนั้นสำหรับผมทั้งที่โรงเรียนหรือที่บ้านอัตราการว่างงานในประเทศบ้านเกิดของผมสูงขึ้นและเพื่อให้พ่อแม่ของผมยังคงมีงานทำอยู่พวกเขาจึงจำเป็นต้องย้ายตามเจ้านายที่ทำงานให้กับสถานทูตแห่งหนึ่งไปที่ออสเตรเลียด้วย
แล้วคุณคิดว่าพวกเขาจะพาลูกชายอายุ 8 ขวบของพวกเค้าไปด้วยไหม คำตอบคือไม่ คุณอาจคิดว่ามันฟังดูแย่ที่ผู้ปกครองจะยอมทิ้งลูกไว้ตามลำพังแบบนี้แต่สำหรับครอบครัวของผมนั้นมันเป็นเรื่องของการดิ้นรนเอาชีวิตรอด ดังนั้นเมื่อพ่อแม่ของผมย้ายไปแล้วผมจึงได้พักอาศัยที่สถาบันการละคร ที่ซึ่งพวกเราได้ฝึกฝนการแสดงกายกรรม ดนตรี และศิลปะการต่อสู้ประเภทต่างๆ มันฟังดูดีนะแต่พวกเราจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 และฝึกซ้อม 15-16 ชั่วโมงต่อวันการฝึกซ้อมร่างกายบางครั้งก็แสนโหดบางครั้งก็แสนเหนื่อยอย่างเช่นพวกเราต้องฝึกซ้อมการยืนด้วยศีรษะและฝึกตีลังกาอยู่นานนับชั่วโมงไม่มีใครปริปากบ่นแต่พวกเราก็ไม่สามารถแสดงออกได้ว่าทุกอย่างมันโอเคเช่นกันเพราะท่านอาจารย์คิดว่าถ้ามีใครสักคนได้รับการฝึกฝนจนมีความชำนาญแล้วเขาจะเพิ่มการฝึกที่หนักขึ้นจนพวกเราจะต้องลงจากความเหนื่อยล้า
การลงโทษทางร่างกายและแรงกดดันทางจิตวิทยาเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับโรงเรียนนี้ ทั้งจากอาจารย์ของเราและเพื่อนร่วมโรงเรียนของเราเอง ในเวลานั้นผมเป็นเด็กที่ไม่มีความกล้าจึงมักถูกเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียนคอยหาเรื่องอยู่เสมอในแต่ละวันมาเจอเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นกับผม ผมโกรธมากที่ปล่อยให้เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นเพียงเพราะความกลัวและความไม่รู้จักป้องกันตัวเองเหตุการณ์ดำเนินต่อไปแบบนั้นด้วยเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ผมลุกขึ้นมาปกป้องนักเรียนใหม่คนหนึ่งการยืนขึ้นต่อสู้เพื่อเขามันทำให้ผมได้เรียนรู้วิธีที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเอง
โรงเรียนของเราเป็นตัวเลือกที่ดีในการค้นหาดารานักแสดงรุ่นใหม่สำหรับบริษัทผลิตภาพยนตร์หลังจากเรียนมาได้ 1 ปีผมก็โชคดีที่ได้รับเลือกกับเขาเช่นกัน ตอนอายุ 8 ขวบผมก็ได้เป็นนักแสดงในละครแล้วจนถึงตอนเรียนจบผมก็ได้ผ่านการแสดงภาพยนตร์มาแล้วถึง 7 เรื่องด้วยกันแต่ถึงกระนั้นผมเองก็ยังแทบไม่รู้วิธีอ่านและเขียนหนังสือเลยแต่นั่นมันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการหางานด้านการแสดงของผมไม่ว่าจะเป็นละครเป็นตอนหรือเป็นสตั้นท์แมนให้กับหนังแอ็คชั่นต้นทุนต่ำ ตอนนั้นผมอายุ 18 ผมรับงานการเป็นสตั้นท์แมนทุกอย่าง จนในเช่นในไม่ช้าผมก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่กล้าหาญในการแสดงมากเสียดายที่ชื่อเสียงที่ดีของผมนั้นมันไม่ได้ทำให้ผมร่ำรวยขึ้นมาเลยอย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนั้นค่าจ้างของสตั้นท์แมนมันต่ำมากจนผมเริ่มอดอยากอีกครั้งแล้วผมควรจะทำอย่างไรดีล่ะ
ผมจึงตัดสินใจออกจากงานและย้ายไปที่ออสเตรเลีย ที่ซึ่งพ่อกับแม่ของผมอาศัยอยู่ที่นั่นพวกเขาค่อนข้างตกใจที่ได้เห็นลูกชายที่พวกเขาทิ้งไว้ตามลำพังเมื่อ 10 ปีก่อนแต่ผมไม่ตำหนิพวกเขาหรอกนะผมรู้ว่านี่คือวิธีของชีวิต ตอนแรกพวกเขาช่วยเหลือผม จนไม่นานผมก็ได้งานทำในร้านอาหารและตามไซต์งานก่อสร้างต่างๆ และผมก็ทำงานทุกอย่างที่สามารถหาเงินให้ได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพในไซต์งานก่อสร้างแห่งหนึ่งผมมีเพื่อนร่วมงานที่สนิทด้วยคนหนึ่งเขาจะคอยพาผมไปไหนมาไหนด้วยทุกทีเขามีชื่อว่า “แจ็ค” ดังนั้นผมจึงได้รับฉายาว่า “ลิตเติ้ลแจ๊ค” จนกระทั่งถูกย่อมาเป็น “แจ็คกี้” ในที่สุด นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ไร้ความสุขที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้งานก่อสร้างนั้นยากและน่าเบื่อมากดังนั้นคุณคงจะจินตนาการออกว่าผมจะมีความสุขแค่ไหน
เมื่อวันหนึ่งผมได้โทรเลขจากคนที่กำลังมองหานักแสดงสำหรับภาพยนตร์เรื่องใหม่กลายเป็นว่าเขาเคยเห็นผลงานของผมเมื่อก่อนในตอนที่ผมยังเป็นสตั้นท์แมนอยู่และเขาก็ประทับใจในตัวผมในที่สุดความกล้าหาญในการแสดงของผมจะสัมฤทธิ์ผลเสียทีผมโทรไปเพื่อพูดคุยกับเขาไม่ช้าผมก็เดินทางกลับบ้านเพื่อไปเป็นดาราในภาพยนตร์แอ็คชั่นเกี่ยวกับนักสู้ตอนนั้นผมอายุ 21 ปีต่อมาชายคนนี้ก็กลายเป็นเพื่อนและผู้จัดการที่ดีที่สุดของผมและผมไม่เคยลืมบุญคุณของเขาที่ทำให้ผมได้ประสบความสำเร็จในชีวิตพวกเราสร้างภาพยนตร์ด้วยกันหลายเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นภาพยนตร์ตลกเพราะอะไรนะเหรอ บางทีอาจเป็นเพราะผมว่าจะยืมให้กับชีวิตเสมอไม่ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนก็ตาม
ผมบอกคุณไปแล้วใช่ไหมว่าชื่อของผมคือ “แจ็คกี้” “แจ็คกี้ แชน“ ผมกล้าพูดได้เลยว่าผมเป็นนักแสดงชาวเอเชียคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกผมผ่านงานแสดงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 เรื่องโดยที่ผมแสดงบทบาทผาดโผนด้วยตัวเองต้องขอขอบคุณการฝึกฝนอย่างหนักที่ผมเคยได้รับจากที่โรงเรียนและเมื่อผมต้องร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหม่ผมก็มักจะแบ่งปันเรื่องราวของผมเกี่ยวกับกับความยากลำบากในชีวิตที่ผ่านมาผมย้ำเตือนพวกเขาเสมอว่าพวกเขาควรชื่นชมยินดีในสิ่งที่พวกเขามีเพราะมีผู้คนอีกมากที่เขายังด้อยโอกาสเหลือเกิน
คุณคิดอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องราวของผมบอกให้ผมดูในช่องคอมเม้นและอย่าลืมแชร์เรื่องราวนี้ให้กับเพื่อนๆของคุณด้วยนะครับ