เวลาของเรื่องเล่า

ผมเป็นฮีโร่ แต่ไม่มีใครเชื่อผมเลย

ไงทุกคน ผมชื่อ “นิค ” ผมคิดว่าผมมีเรื่องราวมากมายที่จะเล่าในเมื่อผมมักเจอกับปัญหายุ่งยากอยู่เสมอส่วนใหญ่ปัญหาเหล่านั้นไม่มีแก่นสารอะไรและโง่เง่าเอามากๆ บางครั้งยังตลกด้วยซ้ำแต่เรื่องหนึ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณคือจุดที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างเร็วร้ายมากๆบางครั้งคุณอาจบอกก็ได้ว่าผมสมควรโดนแล้วแต่ถ้าเป็นแบบนั้นไม่สนหรอกนะว่าคุณจะคิดยังไงแล้วนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ผมบอกคุณได้เลยว่าผมไม่เคยและแม้แต่จะถูกเรียกว่าเป็นคนดีอย่างน้อยพ่อแม่ผมก็เป็นคนพูดแบบนี้เพราะผมก่อปัญหาให้พวกเขามาตลอดหลายปีพวกเขาทำงานหนักมากดังนั้นเราก็เลยไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันเท่าไหร่แต่ก็นั่นแหละผมก็ไม่ได้ต้องการพวกเขาเหมือนกันผมแค่ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการแล้วทุกคนก็เกลียดที่ผมเป็นผมนั่นแหละทุกครั้งที่ผมทะเลาะกับพ่อแม่พวกเขาจะเอาแต่พูดเรื่องเดิมๆซ้ำซากประเภทผมไม่เรียนหนังสือทำข้าวของเสียหายทำตัวก้าวร้าวหยาบคายผมเกลียดที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่แค่พ่อแม่ผมแต่ครูผมลุงป้าและผู้ใหญ่คนไหนๆ ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตผมเลยก็ด้วยเช่นกัน ถึงอย่างนั้นเรื่องที่ว่านี้เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมพ่อของผมได้รับโทรศัพท์อีกสายจากโรงเรียนเรื่องที่ผมทำตัวไม่ได้เรื่องโง่เง่าแล้วโมโหร้ายผมหมายถึงโมโหร้ายจริงๆถ้าผมออกจากบ้านในวันสุดสัปดาห์เว้นแต่จะเกิดไฟไหม้หรืออะไรทำนองนั้นหรือเปิดเครื่องเล่น playstation หรือทำอะไรอย่างอื่นที่ทำให้วอกแวกไม่อ่านหนังสือผมจะไม่ได้ไปอยู่กับ “เคส” พี่ชายของผมช่วงปิดเทอมหน้าร้อนและนี่คือสิ่งที่ผมรอคอยเพียงอย่างเดียว

เขาอยู่ห่างออกไป 300 ไมล์แล้วโดยทั่วไปก็คือคนเดียวจริงๆที่ไม่ได้เรียกผมว่าไอ้โง่อยู่ตลอดเวลาเราสนุกกันมากเล่นฟีฟ่าไปตกปลาและใช้เวลาด้วยกันนั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปีเลยและถ้าพ่อแม่บอกว่าให้ผมอยู่บ้านผมก็ต้องอยู่จริงๆดังนั้นผมจึงไม่อาจก่อเรื่องอะไรได้เด็ดขาดในวันเสาร์พวกเขาก็ออกไปข้างนอกแล้วจะกลับไปคืนเดียวกันนั้นผมอยู่บ้านคนเดียวแต่ผมคิดว่าพวกเขาขอให้เพื่อนบ้านจับตาดูผมไว้หรือบางทีอยากตั้งกล้องไว้ที่ไหนสักแห่งเพราะพวกเขาไม่เคยเชื่อใจปล่อยผมว่าอยู่คนเดียวแบบนั้นแล้วผมก็แค่นั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือทบทวนตำราจริงๆ แต่แล้ว “จัสติน” เพื่อนคนหนึ่งของผมก็ส่งข้อความมาบอกว่าเขาเจอโรงพยาบาลที่ถูกทิ้งร้างอยู่ริมแม่น้ำอีกฟากหนึ่งของเมืองและถามผมว่าผมอยากไปดูหรือไม่

แหงสิว่าผมต้องอยากไปผมหนีออกไปทางหน้าต่างชั้นล่างได้กระโดดลงไปบนรั้วในสวนหลังบ้านแล้วไปถึงป้ายรถเมล์ได้ภายใน 30 วินาทีผมอ่านหนังสืออยู่หลายชั่วโมงครึ่งแล้วซึ่งนี้ยิ่งทำให้ผมแทบจะบ้า ขอเล่าแบบรวบรัดเลยนะผมไปที่นั่นเจอ “จัสติน” และระหว่างทางไปโรงพยาบาลร้างที่ว่าเราก็เห็นชายคนหนึ่งอยู่ในแม่น้ำดังนั้นก็คือเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นที่ริมอ่าวที่นั้นมีสะพานไม้ที่อยู่ต่ำมากและยังเก่าสุดๆแล้วผมก็จำเงาของคนที่อยู่ในแม่น้ำได้แก่ “ชาลี” เค้าเป็นเหมือนเซเลปท้องถิ่นของบ้านเราผู้ชายคนนี้อายุ 100 ปีแล้วแบบ 100 จริงๆเลยนะแต่ยังคงปั่นจักรยานเป็นนักวิ่งกระตือรือร้นไปหมดและยังเป็นบุคคลอันทรงเกียรติของเมืองของเราเรื่องอะไรทำนองนั้นแหละเขาเป็นนักว่ายน้ำด้วยแต่ ณ ตอนนั้นผมว่าผมเห็นเขากำลังจะจมน้ำ “จัสติน” นิ่งค้างไปเพราะเขาสับสนแล้วไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรขณะที่ผมพุ่งไปที่แม่น้ำและกระโดดลงไป  “เคส” และผมว่ายน้ำด้วยกันทุกวันในช่วงหน้าร้อนผมก็เลยว่ายน้ำเก่งทีเดียวคิดว่านะ

ผมไม่ได้ถามตัวเองด้วยซ้ำว่าทำแบบนี้ไปทำไมแต่หลังจากนั้นผมก็ได้รู้ว่าชายชราคนนี้ขี่จักรยานข้ามสะพานมารู้สึกไม่ค่อยสบายแล้วก็ตกลงไปในน้ำผมดึงเขาเข้ามาจากแม่น้ำขึ้นมาบนฝั่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่ผมคิดว่าเขาอาจอยากอยู่ไปอีกอย่างน้อยก็อีกหลายๆวันถัดจากนี้ “จัสติน” ก็อยู่ที่นั่นด้วยตอนที่เราปีนกลับขึ้นมาเตรียมพร้อมจะเข้าช่วยเหลือผมบอกให้เขาเรียกว่าพยาบาลหรือยังหายใจอยู่แต่เขาดูเหมือนจะหมดสติไปแล้วหรืออย่างน้อยก็ไม่ได้พูดอะไรเลยในตอนที่เกิดเหตุผมอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งแต่เมื่อได้ยินเสียงไซเรนรถพยาบาลมาจากที่ไกลๆผมก็ตระหนักได้ว่าผมจะต้องเจอเรื่องยุ่งยากแน่แล้วผมควรจะอยู่บ้านอ่านหนังสือและเมืองของเราก็เล็กมากส่วนเรื่องต้องไปถึงหูพ่อแม่ผมแน่แล้วผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นดังนั้นผมเลยบอกให้ “จัสติน” กระโดลงไปในแม่น้ำเพื่อให้เสื้อผ้าปีแล้วบอกหน่วยแพทย์ว่าเป็น “จัสติน” ที่ช่วยชายชรานี้ขึ้นมา แล้วที่นั่นไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยเขาตอบตกลงหลังจากนั้นไม่กี่นาทีผมก็ไปอยู่บนรถเมล์ตัวเปียกโชกพยายามอย่างมากที่จะไม่เป็นจุดสนใจของใครผมไปถึงบ้านก่อนที่พ่อแม่ของผมจะกลับไปแล้วยังซักและตากเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จเรียบร้อยด้วย

หลังจากวันนั้นทุกอย่างเงียบสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนค่ำผมได้ยินข่าวว่าตาแก่โอเคขึ้นแล้วและเขายังขอบคุณ “จัสติน” ซึ่งตามเขาไปถึงโรงพยาบาลด้วยสำหรับเรื่องที่ช่วยชีวิตเขาเขาบอกว่าเขารู้สึกกระอักกระอ่วนสุดๆเราก็เลยทำเป็นลืมๆเรื่องนี้ไปสิ่งแรกที่ผมเห็นในเช้าวันรุ่งขึ้นคือ “จัสติน” ปรากฏตัวอยู่ในข่าวท้องถิ่นและนั่นก็เพิ่งจะเริ่มต้นด้วยความที่ชาลีท่านอายุมากแล้วเป็นคนดังแล้วยังฟื้นตัวได้เร็วเหมือนไม่มีบาดแผลหรือการบาดเจ็บอะไรเลยตอนนี้ทุกคนเลยมองว่า  “จัสติน”  เป็นฮีโร่และเขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรผมหมายถึงก็ใช้เขาเป็นเพื่อนที่ดีและยังมีเรื่องอื่นๆอีกแต่ผมก็เห็นเหมือนกันว่าเขารู้สึกดีที่ได้รับความสนใจระหว่างที่เล่าเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงอย่างนั้นตลอดทั้งวันแรกผมก็ยังโล่งใจที่ทำทั้งหมดออกมาเป็นแบบนี้แต่แล้วเรื่องต่างๆก็บ้าบอมากขึ้น

ครูที่โรงเรียนเอาแต่พูดถึง “จัสติน” เขาได้รับรางวัลอะไรสักอย่างสำหรับความกล้าหาญของเขาด้วยครั้งถัดไปที่เราออกไปเดินเล่นในเมืองมีคนมากมายมาหาเขาก็บอกว่าเขายอดเยี่ยมแค่ไหนที่ช่วยชีวิตชายชราผมก็อยู่ตรงนั้นอยู่ข้างๆเขาเลยแต่ผมก็รำคาญใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ชีวิตผมไม่ได้เปลี่ยนไปมากนะแต่อะไรอีกหลายๆอย่างเริ่มเผยตัวออกมาผมยังคงไม่เคยได้ยินเรื่องดีๆสักประโยคเกี่ยวกับตัวเองจากใครเลยทั้งที่บ้านหรือที่โรงเรียนพวกเขายังคงปฏิบัติต่อผมเหมือนผมเป็นไอ้งั่งไม่ได้เรื่องได้ราวเรื่องนี้มาถึงจุดพีคตรงที่พ่อแม่ผมบอกว่าผมคงไม่มีวันทำอย่างที่ “จัสติน” ช่วยชีวิตชายชราคนนั้นเพราะผมสนใจแต่เรื่องของตัวเองตอนนั้นผมไม่ได้พูดอะไรเลยแต่เมื่อเราทะเลาะกันตามปกติในเช้าวันถัดมาผมก็ตบะแตกแล้วตะโกนออกไปว่าผมต่างหากที่ช่วยชีวิตตาแก่นั่นผมต่างหากที่เป็นฮีโร่ผมเสียใจทันทีที่พูดออกไปเพราะผมจะไม่ได้อะไรเลยจากเรื่องนี้ยิ่งไปกว่านั้นยังจะไม่ได้หาพี่ชายผมตลอดหน้าร้อนด้วย

แต่ผมก็แค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าขันจริงๆพ่อแม่ผมไม่เชื่อผมพูดเขาบอกว่าผมแค่พยายามจะรับความดีความชอบที่ผมไม่ได้ทำแล้วผมก็ไม่เคยทำอะไรที่น่าภูมิใจเลยด้วยผมก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับผมเรียนไปเรื่อยๆจบปีการศึกษาในระดับที่พอใช้และในเดือนมิถุนายนผมก็ไปอยู่กับ “เคส” ตลอดทั้งหน้าร้อนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเขาเป็นคนเดียวที่เชื่อผมในตอนที่ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังและนี่ก็คือสิ่งที่เขาพูด “เคส” บอกผมว่าไม่ว่าคนรอบตัวผมจะพูดอย่างไรผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นใครและทำอะไรได้บ้างและนั่นคือสิ่งเดียวที่สำคัญและนั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่สำคัญนั่นแหละทุกคน

ถ้าคุณเคยได้รับคำชมจากบางอย่างที่คนอื่นเป็นคนทำหรือคนอื่นเอาเครดิตจากสิ่งที่คุณทำไปช่วยแบ่งปันเรื่องราวของคุณในช่อง คอมเม้นต์ หน่อยนะผมคิดว่าพวกเราส่วนใหญ่คงเคยมีช่วงเวลาแบบนี้เหมือนอย่างที่ใครสักคนเอาเรื่องตลกที่คุณคิดไปเล่าให้คนอื่นฟังแล้วคุณก็ชอบยิ่งกว่าตอนที่คุณเล่าอีกอย่าลืมกด ไลค์ และกดติดตามล่ะ 

เรื่องเล่าที่เกี่ยวข้อง

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments
Back to top button
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x

ปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณา

กรุณาปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณาก่อนนะ เพราะเว็บจะอยู่ได้ก็จากป้ายโฆษณา