ผมเคยใช้ชีวิตด้วยเงินเหรียญเดียวต่อวัน และตอนนี้ผมคือตำนาน
ไงผมอยากบอกว่าผมชื่อว่าพ่อแม่ของเราเพียงแค่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอแต่บางครั้งหนทางของพวกเขาในการให้สิ่งดีๆกับเราก็อ่านไม่ปกตินักและการเลี้ยงดูที่เราได้รับก็ส่งผลกระทบต่ออนาคตทั้งหมดของเราไม่ว่าเราจะอยากหรือไม่ก็ตามแต่เราเพียงแค่ต้องตัดสินใจว่าเราจะนำสิ่งไหนที่เรียนรู้จากพ่อแม่มาใช้มาฟังเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าถึงวิธีการที่ผมเติบโตขึ้นมาและผลที่เกิดขึ้นในชีวิตผมกันผมชื่อ “อีลอน มัสก์” แล้วถ้าคุณคิดว่าวัยเด็กของคุณซับซ้อนแล้วคุณไม่ใช่คนเดียวหรอกนะ
พ่อแม่ของผมหย่ากันผมโตขึ้นมาโดยมีหนังสือเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวผมประสบกับความยากลำบากเวลาที่อยู่โรงเรียนและยังเคยทำงานในไซต์งานก่อสร้างพ่อของผมไม่เชื่อมั่นในตัวผมและยังอยู่ไกลผมต้องเอาชีวิตรอดแต่ละวันด้วยเงินเพียงเหรียญเดียวและหิวอยู่ตลอดเวลาแต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอกสิ่งที่ผมพบว่าสำคัญจริงๆคุณทำอะไรกับทุกสิ่งที่คุณได้เรียนรู้มาจากพ่อแม่ต่างหากช่วง 8 ปีแรกในชีวิตผมเต็มไปด้วยความสดใสและมีความสุขในระดับหนึ่งเลยผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่และน้อง 2 คนในเมืองของคนรวยในแอฟริกาใต้เราอยู่ห่างจากเมืองหลวงในระยะขับรถ 1 ชั่วโมงถึงทั้งพ่อและแม่ของผมเป็นคนที่ยุ่งตลอดพวกเขาทำงานหนักและนานเสียจนผมแทบไม่เคยเจอพวกเขาแต่พวกเขาก็คอยดูอยู่ตลอดว่าผมหรือน้องๆไม่ขาดแคลนอะไรเราก็ไม่ขาดแคลนจริงๆนอกจากบางทีนะคงเป็นความสนใจที่พ่อแม่มีต่อเราเท่านั้น
เราไม่มีพี่เลี้ยงมีแค่แม่บ้านที่คอยดูว่าผมจะไม่ทำอะไรเสียหายผมไม่เคยทำข้าวของที่บ้านเสียหายนะแต่ผมสร้างปาฏิหาริย์ต่างหากผมชอบสร้างระเบิดและจรวดเสมอและการทำสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผมตายได้ถึงตอนนี้ผมยังตกใจอยู่เลยที่ผมยังมีนิ้วมือครบทุกนิ้วผมยังรักการอ่านด้วยเหมือนกันครั้งหนึ่งครอบครัวของเราออกไปตระเวนซื้อของเมื่อผมนึกขึ้นได้ระหว่างนั้นว่าผมลืมซื้ออะไรแม่ผมต้องพาน้องชายตามไปด้วยระหว่างออกตามหาผมพวกเขาพบผมในร้านหนังสือใกล้ๆนั่งอยู่บนพื้นและอ่านหนังสือด้วยไม่สนใจทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเลยขณะที่ผมอายุมากขึ้นผมจะไปแวะร้านหนังสือหลังโรงเรียนเลิกตอนบ่ายสองแล้วอยู่ที่นั่นจนถึงหกโมงเย็นซึ่งพ่อแม่ผมกลับจากที่ทำงานผมตลุยอ่านหนังสือนิยายจากนั้นก็การ์ตูนและในที่สุดก็เป็นหนังสือสารคดีบางครั้งพวกเขาก็ไล่ผมออกจากร้านแต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะให้ผมอยู่ที่นั่นเมื่อถึงจุดหนึ่งผมก็ไม่มีหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนห้องสมุดในย่านที่ผมอยู่และหนังสือในร้านให้อ่านอีก
ดังนั้นผมเลยเริ่มอ่านหนังสือชุดสารานุกรมหนังสือพรุ่งนี้ช่วยได้มากคุณจะพบเลยว่าคุณไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณไม่รู้คืออะไรและคุณจะยังตระหนักได้ว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้มากนักนอกจากนั้นน้องชายแล้วผมยังพยายามหาเงินเพิ่มกันด้วยเราทำไข่อีสเตอร์ช็อกโกแลตและเดินไปรอบๆย่านคนรวยในเมืองเพื่อนำไปขายเราคิด 10 ดอลลาร์สำหรับไข่อีสเตอร์โฮมเมดที่มีค่าแค่ 50เซน และเราก็มักได้รับคำถามทำนองว่าทำไมไข่ อีสเตอร์ ฟองเล็กๆแค่นี้ ถึงแพงจังและผมตอบว่านั่นคือการที่พวกเขากำลังสนับสนุนได้ทุนรุ่นเยาว์แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าพวกเขาไม่ซื้อของผมพวกเขาก็จะไม่มีไข่อีสเตอร์ที่ไหนอีกแล้ว อะฮ้า แต่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปเมื่อผมอายุครบ 8 ขวบนั่นคือตอนที่พ่อแม่ผมรู้ตัวว่าพวกเขาไม่ได้รักกันแล้วแล้วตัดสินใจแยกทางกันน้องชายและน้องสาวของผมอยู่กับแม่แต่ผมรู้สึกสงสารพ่อมากเขารู้สึกเศร้าและโดดเดี่ยวมากจริงๆผมก็เลยบอกว่าพ่อครับผมจะอยู่กับพ่อผมอยู่เป็นเพื่อนพ่อได้นะ
พ่อของผมเป็นคนแกร่งมากครั้งหนึ่งผมจำได้ว่ามี 5 หรือ 6 คนบุกเข้ามาในบ้านเราแล้วพ่อของผมก็ไล่ตามคนพวกนั้นไปด้วยตัวเองผมรู้เลยว่าคุณจะต้องเป็นคนที่มีนิสัยก้าวร้าวอย่างน่าเหลือเชื่อถึงจะสามารถยืนหยัดสู้กับโจรขึ้นบ้านที่มีอาวุธได้พ่อผมอยากเป็นคนสั่งสอนลูกๆเขาอย่างน้อยก็ลูกชายเพื่อเรียนรู้ที่จะลงมือทำงานด้วยตัวเองน้องชายและผมเคยไปที่ทำงานของพ่อเขาเป็นวิศวกรดังนั้นเราเลยมักต้องออกไปที่ไซต์ก่อสร้างซึ่งเราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การก่ออิฐไปจนถึงการเข้ากรอบหน้าต่างท่อต่างๆและการเดินสาย ที่โรงเรียนผมเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดและตัวเล็กที่สุดในชั้นเรียนแต่การอ่านหนังสือทุกอย่างของผมก็ทำให้ผมเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดเช่นกันทำนองว่าเป็นเหรียญมีค่าที่สุดในกองเศษเหรียญที่มีอยู่มากมายเพราะแบบนี้ผมจึงตกเป็นเป้าของการล้อเลียนและบางครั้งก็แย่ยิ่งกว่านั้นอีกเสมอบางครั้งพวกแก๊งเด็กในโรงเรียนก็ไล่ล่าผมแบบจริงๆจังๆ ด้วยระหว่างที่ไม่มีเรียนผมจึงต้องไปซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ครั้งหนึ่งเพื่อนรักของผมหักหลังบอกตำแหน่งที่ซ่อนลับของผมเมื่อเด็กพวกนั้นขู่จะทำร้ายเขาวันนั้นไม่ใช่วันที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผมแน่เพราะฉะนั้นผมก็เลยวางหนังสือไว้ก่อนจะเริ่มเรียนรู้วิธีการสู้กลับคาราเต้ ยูโด มวยปล้ำ ดูเหมือนว่าผมจะเข้าชั้นเรียนวิชาต่อสู้ทุกชั้นที่เปิดสอนเมื่อผมอายุครบ 16 ปีผมก็เริ่มเอาคืนหนักพอๆกับที่เด็กพวกนั้นเคยทำกับผม ผมตอบโต้กลับแค่ไม่กี่ครั้งแล้วผมก็สังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นไม่เลือกผมเป็นเป้าคอยเล่นงานอีกแล้วนั้นเป็นบทเรียนที่สอนให้ผมรู้ว่าใครก็ตามที่ไล่ล่าคนที่อ่อนแอกว่าจะมองหาเป้าหมายที่ไม่ตอบโต้กลับถ้าคุณทำให้ตัวเองกลายเป็นเป้าหมายที่ท้าทายพวกเขาจะไม่มาไล่ล่าคุณอีกต่อไป เมื่อผมอายุ 17 ปีในที่สุดผมก็ย้ายไปแคนาดาบ้านเกิดของแม่ผม พ่อของผมไม่ได้อวยพรผมให้โชคดีเขาบอกว่าผมจะต้องกลับมาแอฟริกาใต้ใน 3 เดือนพ่อเรียกผมว่าไอ้โง่แล้วบอกผมว่าผมจะไม่มีทางทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้ นี่ไม่ใช่วิธีให้ความมั่นใจกันเลยรู้ไหมและชีวิตที่นั่นก็ไม่ได้ง่ายดายกว่าเดิมนัก
ในตอนแรกผมผมอาศัยอยู่กับหนึ่งในลูกพี่ลูกน้องของแม่ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งจนกระทั่งแม่และน้องสาวคนเล็กของผมย้ายมาตลอดโตรอนโต้เราหาอพาร์ทเม้นท์เล็กๆอยู่แล้วผมก็เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยซึ่งผมอยู่ในหมู่บ้านนักศึกษาประเภทยากไร้เรียนหนักและแทบเอาตัวรอดจากเงินแค่เหรียญเดียวไม่ได้ผมอยู่ได้ด้วยฮอทดอกและส้มเก็บเศษเงินทั้งหมดเอาไว้ผมหิวโหยอยู่เสมอระหว่างที่ต้องทำงานหาเลี้ยงลูกแม่ของผมทำงานถึง 5 อย่างหนึ่งในนั้นคือการเป็นนักโภชนาการและหนึ่งในลูกค้าของแม่ก็คือคนขายเนื้อเขาจะให้เนื้อย่างกับแม่เดือนละครั้งแม่จะตัดมันเป็น 4 ส่วนแช่ช่องแข็งไว้ 3 ส่วนแล้วเอา 1 ส่วนมาทำอาหารเพื่อที่ว่าเราจะได้มีเนื้อสัตว์กินสัปดาห์ละครั้ง แม่ไม่เคยตะคอกดุด่าเราที่เป็นลูกเลยแต่โดยส่วนตัวแม่จะแสดงให้เห็นว่าเส้นทางของถนนสู่ความสำเร็จเป็นเรื่องท้าทายขนาดไหนแม่ทำงานหลายอย่างทำงานหนักมากและใช้ตัวเองเป็นแบบอย่างของเรา ลูกๆ อยากเราประสบความสำเร็จทุกอย่างได้ด้วยตัวเองใน
ปี 1995 “คิมบอล” น้องชายของผมแล้วผมตั้งบริษัทเป็นของตัวเองแม่สนับสนุนความปรารถนาที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จของเราและรบเร้าว่าผมต้องออกจากงานแล้วไปยังซิลิคอนวัลเลย์ทุกๆสัปดาห์แม่จะไปหาเราแล้วพยายามช่วยเราเรื่องธุรกิจอย่างเช่นช่วยสร้างแผนธุรกิจครั้งหนึ่งแม่ยังเคยกระทั่งช่วยทำงานนำเสนอให้นักลงทุนและอยู่กับเราจนกระทั่งตี 2 ของอีกวัน วันต่อมาเราเหนื่อยกันมากแล้วเราก็ยังเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในพาโลอาโต้และตอนนี้เองที่แม่ของผมบอกว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จ่ายค่าอาหารให้เราและนับแต่นั้นมาแม่ก็ไม่เคยจ่ายอะไรให้เราอีกเลย 4 ปีต่อมาผมขายบริษัททิ้งด้วยเงิน 22 ล้านดอลลาร์ทุกสิ่งที่ผมได้จากข้อตกลงนี้ทำให้ผมไปลงทุนในกิจการต่อไปของตัวเองได้นั่นคือสตาร์ทอัพซึ่งในภายหลังผมเปลี่ยนให้กลายเป็นระบบจัดการการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดผมขายบริษัทนั้นทิ้งไปเช่นกันแต่ครั้งนี้ในราคา 1,500 ล้านดอลลาร์
ช่วงเวลานั้นคือปี 2,000 และซิลิคอนวัลเลย์กำลังเบ่งบานด้วยแนวคิดบริโภคนิยมในขณะนั้นพวกนักวิชาการทรงปัญญาในช่วงต้นยุคมิลเลนเนียมบอกว่าให้หยุดพักไว้ก่อนยาวๆหายใจเข้าลึกลึกและอดทนรอจนกว่าจะถึงโอกาสถัดไปแล้วค่อยเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาดแต่ผมไม่ได้พร้อมทำตามอย่างที่พวกเขากล่าวไว้แทนที่จะทำแบบนั้นผมใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่เกือบ 200 ล้านดอลลาร์ลงทุนใน 2 บริษัทหนึ่งในนั้นคือการส่งยานอวกาศขึ้นไปโคจรบนสถานีอวกาศนานาชาติและกลับลงมาสู่พื้นโลกโดยปลอดภัยอีก 1 บริษัทคือการทำรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบซึ่งทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมดต้องกลั้นหายใจด้วยความตื่นแล้วพวกดีทรอยด์โกรธเกรี้ยวไปด้วยความอิจฉา
ตอนนี้ผมก็ยังคงติดต่อพ่อแม่ของผมและซาบซึ้งต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำให้ผมแล้วคุณล่ะคุณจัดการสิ่งต่างๆที่ได้เรียนรู้มาจากพ่อแม่ของคุณอย่างไรช่วยแบ่งปันเรื่องราวของคุณลงในช่องคอมเม้นต์และอย่าลืมกดติดตามช่องนี้ล่ะ