ผมต้องหลบหนีไปสหรัฐอเมริกา เมื่อสูญเสียพ่อแม่ไป
สวัสดีทุกคนชื่อของผมคือ “โรฮาน” ผมอายุ 16 ปีแล้วตอนนี้อาศัยอยู่ในอเมริกาอย่างมีความสุขกับพี่สาวชื่ “อามีต้า” แล้วลุงของผม แต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นครอบครัวของผมจริงๆ แล้วมาจากอินเดีย ดังนั้นถ้าคุณอยากรู้ว่าทำไมพวกเราถึงย้ายมาและเกิดอะไรขึ้นกับเราระหว่างทางมาสหรัฐอเมริกาอยู่กับผมได้เลย
ผมใช้ชีวิตวัยเด็กในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในอินเดียถึงอย่างนั้นพ่อแม่ของผมก็ต้องทำงานตลอดวันตลอดคืนและเรายังมีความเป็นอยู่ที่อัตคตขัดสน ไม่มีอะไรในชีวิตมากนัก แล้ววันหนึ่งเรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นพ่อแม่ของเราไปทำงานแล้วไม่กลับมาอีกเลย หลังจากรออยู่ 3 วันเราก็พบว่ารถประจำทางที่พาคนงานทั้งหมดเข้าไปในเมืองทุกวันประสบอุบัติเหตุ พี่สาวแล้วผมส่งเศร้าใจสลายเราจะอยู่โดยไม่มีพ่อแม่ได้อย่างไร
ยามทุกคนในอินเดียของเรามีชีวิตอย่างยากจน เป็นประชากรรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์และมีปากท้องมากพอให้เลี้ยงดูแล้วเราไม่มีที่ไป นั่นจึงทำให้พี่สาวของผมโทรหาลุง “ซามา” ที่ย้ายไปอเมริกาเมื่อหลายปีก่อน เค้าโศกเศร้าอย่างยิ่งที่ได้ยินข่าวเรื่องพ่อแม่ของเราและสัญญาว่าจะพาเราออกนอกประเทศเขาไม่ได้มาหาเราด้วยตัวเองเพราะไม่อยากเสี่ยงพาเด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์เข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย
ขั้นตอนในการขอวีซ่าเข้าอเมริกาอาจใช้เวลานานหลายปีซึ่งลุงต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมหาศาลเราไม่มีทั้งเงินและเวลาที่จะทำแบบนั้น เพราะฉะนั้นลงจึงส่งพาสปอร์ตปลอมมาให้เราและเงินสำหรับซื้อตั๋วเครื่องบินนี่จะต้องเป็นการเดินทางที่ยาวนานและเสี่ยงแน่ต้องแวะพักหลายครั้งและมีปลายทางหลายทีแต่นี่เป็นโอกาสเดียวของเรา เราจึงต้องเสี่ยงก้าวออกไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ตอนแรกทุกอย่างเริ่มต้นได้ดีมากเ ราถึงกับชื่อที่ได้เห็นเครื่องบินตอนถึงสนามบิน ผมไม่เคยเห็นเครื่องบินใกล้ๆ แบบนี้มาก่อน แล้วผมก็ตื่นเต้นมากจริงๆ ตอนที่ขึ้นเครื่องแต่ความตื่นเต้นทั้งหมดก็จางหายไปหลังจากที่เราลงจอดใน เอกวาดอร์ ที่นั่นมีผู้คนมากมายที่เป็นเหมือนเราพยายามขึ้นรถประจำทางเข้าไปยังจุดหมายถัดไปเพื่อเข้า เม็กซิโก
ทุกคนพลักกันและกันและตะโกนไปมาพี่สาวและผมพยายามเกาะติดกันไว้แต่พอเราเบียดผ่านชุมชนและขึ้นไปบนรถประจำทางได้ ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่ามีผมแค่คนเดียว “อะมีตา” ไม่อยู่ตรงนั้น ผมพยายามเรียกหาเธอแต่เธอไม่ตอบรับผมกลัวแทบตายผมพึ่งอายุแค่ 5 ขวบผมจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีพี่สาวแต่รถประจำทางเริ่มออกตัวผมตัวสั่นแล้วหวาดผวา แต่ก็ยังพยายามกลั้นน้ำตาผมทำได้แค่หวังว่า พี่สาวของผมจะหาทางขึ้นรถคันอื่นได้แล้วเราจะกลับมาพบกันอีกครั้ง
บนรถยาวนานเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น หลังผ่านไปหลายชั่วโมงในที่สุดรถประจำทางก็จอดผมคิดว่าเรามาถึงแล้ว แต่กลายเป็นว่ารถเสียแล้วไม่มีรถคันอื่นที่จะมารับเราทุกคนนั้นเริ่มโมโหแล้วไม่มีทางเลือกอื่นให้เราอีกนอกจากเดินไปไม่มีใครรู้ว่าป้ายรถจุดถัดไปอยู่ตรงไหนหรือไกลอีกเท่าไหร่ ถ้าต้องเดินเท้าไปเราเดินกันนานหลายชั่วโมงจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดแต่ในที่สุดก็ถึงป้ายรถประจำทางจนได้
ทุกคนเหนื่อยและกระหายเพราะการเดินฝ่าแสงแดดร้อนๆ ยากลำบากมากมีคนมากมายอยู่ที่นั่นแล้วผมก็มองหาพี่สาวในฝูงชน ทันใดนั้นใครบางคนก็ตะโกนชื่อผมกับผมไว้แล้วกอดผมแน่นในวงแขน “อามีต้า” นั้นเองเราดีใจมากที่ได้พบกันอีกครั้งเธอมากับรถประจำทางอีกคัน ดังนั้นตอนนี้เราสามารถเดินทางไปด้วยกันได้แล้วแต่ก็ไม่ได้โชคดีแบบนั้นคนทั้งหมดที่มาด้วยกันกับผมเร่งรีบไปขึ้นรถแล้วพอเรากำลังจะขึ้นไปทั้งรถก็เบียดเสียดไปด้วยผู้คนอย่างกับปลากระป๋องไปแล้ว
โอ้ นั่นเป็นอีกหนึ่งบททดสอบที่เราต้องเผชิญแต่อย่างน้อยตอนนี้เราก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วเราอยู่ที่ป้ายกับคนอื่นๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันและรออยู่ตรงนั้นตอนนั้นแทบไม่มีอาหารและน้ำเหลือและไม่มีที่ให้นอน พี่สาวพยายามทำให้ผมร่าเริงขึ้นบอกเรื่องเกี่ยวกับลุง “ซามา” แล้วยืนยันกับผมว่ารถอีกคันกำลังมาแล้วรถก็มาถึงได้อีก 2 วันต่อมา
เราอ่อนล้ายิ่งกว่าที่เคยเป็นมาตลอดทั้งชีวิตแทบไม่ได้กินอะไรเลยและหิวโหยอย่างมากแต่เราก็ได้กลับมาอยู่บนถนนอีกครั้งแล้วบนรถเมล์ชายชราชาวอินเดียที่ใจดีมากๆคนหนึ่งซึ่งยอมแบ่งอาหารกับเราเขาก็กำลังจะไปอเมริกาเหมือนกันเพื่อไปรวมตัวกับครอบครัวของเขา เขาบอกเราว่าสิ่งสำคัญคือการข้ามชายแดนและหลังจากนั้นเราก็จะสบายแล้ว และช่วงเวลานั้นก็มาถึง
ที่นั่นเต็มไปด้วยคนตรวจตาที่ดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด พวกเขาให้บางคนผ่านเข้าไปแต่เราก็เห็นคนอีกมากมายที่ถูกปฏิเสธไม่ให้ข้ามแดนและถูกจับจากนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้จึงมีแค่หวังว่าจะผ่านพ้นไปได้หัวใจของผมดิ่งวูบตอนถึงตาของเราเจ้าหน้าที่ดูเอกสารของเรานานเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดเขาคำถามพี่สาวผมหลายอย่างแล้วผมเห็นว่าเธอหวาดกลัวแค่ไหนแต่เธอก็รวบรวมสติและตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำจากนั้นปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นพวกเขาให้เราผ่านเข้าไป
ผมหันกลับไปเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อดูว่าชายชราใจดีคนนั้นอยู่ตรงไหนเขาเข้าแถวอยู่ข้างหลังเราแต่ผมเห็นเจ้าหน้าที่พาตัวเขาออกไปเขายิ้มให้ผมและโบกมือให้ โอ้ ผมหวังเหลือเกินว่าเขาจะโชคดีกว่านี้ เราเสียใจแทนเพื่อนใหม่ของเรามากจริงๆ แต่เราก็ต้องเดินไปข้างหน้าและทิ้งอดีตไว้เบื้องหลังเราไปร่วมกลุ่มกับชาวอินเดียคนอื่นๆ และตามพวกเขาไปทุกอย่างรอบตัวเราแปลกหูแปลกตาและชวนให้สับสนถนนสายนี้พาเราไปที่โบสถ์ซิกในท้องถิ่นที่นั่นมีน้ำสะอาดและอาหารให้เราทานเราได้รับเสื้อผ้าสะอาดๆ และสถานที่ให้หลับพักผ่อนเหมือนขึ้นสวรรค์เลย
เรานอนหลับอย่างวางใจในคืนนั้นพี่สาวปลุกผมในตอนเช้าตรู่เธอร่าเริงเบิกบานอย่างมากบอกว่าในที่สุดแล้วก็ลุง “ซามา” ได้แล้วและเขากำลังมาหาเราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อนเพราะเขาไปจากอินเดียตั้งแต่ก่อนผมเกิดแต่ผมก็รอที่จะได้พบเขาเรารู้สึกล่องลอยด้วยความดีอกดีใจในที่สุดก็ทำได้แล้วค่ำวันเดียวกันนั้นลูกของเราก็มาถึงจริงๆ พี่สาวของผมกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาทันทีที่เห็นและทั้งคู่ก็ร้องห่มร้องไห้
เราได้พบครอบครัวของลุงและย้ายไปอยู่กับเขาที่ โอไฮโอ หลังจากนั้น 2 ปีเมื่อศาลพิจารณาคำร้องของเราแล้วเราก็ได้กรีนการ์ดและกลายเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกาและไม่นานหลังจากนั้น “อามีต้า” พี่สาวของผมก็อายุครบ 18 ปีทำให้เธอกลายเป็นผู้ปกครองของผม ผ่านมานาน 11 ปีแล้วนับตั้งแต่เราข้ามชายแดนมายังสหรัฐอเมริกาในวันนั้นแต่ผมยังคงจดจำเครื่องบินที่มุ่งหน้าไปเอกวาดอร์และผู้คนที่หิวโหยที่ป้ายรถประจำทางที่ดิ้นรนเพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่าและรอยยิ้มบอกลาของชายชราคนนั้นได้ พี่สาวและผมเป็นคนที่โชคดีและเราก็จะต้องรู้สึกขอบคุณเรื่องนี้ไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ผมอยากไปประเทศแม่ของผมในสักวันเพราะผมคิดถึงที่นั่นอย่างที่เขาว่ากันว่านกทุกตัวรักรังของมันเอง
ถ้าคุณมีประสบการณ์ที่คล้ายกันหรือคุณกำลังจะเลิกล้มความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตผมหวังว่าคุณจะใช้เรื่องราวของผมเป็นแรงบันดาลใจผมจะยินดีมากที่ได้อ่านเรื่องราวที่คุณประสพ ในชีวิตในช่องคอมเมนต์ด้วย