ฉันแต่งงานกับลูกชายของศัตรูพ่อเหมือนโรมิโอกับจูเลียต!
ไงฉันชื่อ “แอมเบอร์” เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้วแต่ฉันจะเล่าให้คุณฟังว่าอะไรเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องราวที่ยังส่งผลต่อชีวิตของคุณมากมาย เอาล่ะให้ฉันเริ่มต้นเล่าเลยแล้วกันพ่อของฉันเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในการมีมิตรภาพที่ยั่งยืนยาวมาตลอดชีวิตเขาและเพื่อนรักของเขาคุณ “บริทช์” เขาอาศัยอยู่บนถนนสายเดียวกันตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังเป็นเด็กชายตัวน้อยจากนั้นพวกเขาเข้าโรงเรียนเดียวกันแล้วเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยเดียวกันอันที่จริงแล้วพวกเขายังถึงจะแบ่งงานกันแล้วก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ผู้สมัครเข้าทำงานได้รับการเสนอตําแหน่งงานในบริษัทพร้อมกันทั้งคู่ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจกับข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาทั้งคู่แต่งงานในปีเดียวกันแต่ทั้งสองครอบครัวก็มีลูกห่างกันแค่ 6 เดือนแน่นอนในเมื่อ “เบ็น” กับฉันโตมาด้วยกันไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจะตกหลุมรักกันและกันฉันทีที่อายุครบ 16 ปีทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติและพ่อของพวกเราก็เป็นที่หนึ่งไม่มีใครเกินของที่เริ่มฝันว่าจะมีหลานร่วมกันและอะไรอีกหลายๆ
ฉันคบกับ “เบ็น” มากกว่า 1 ปีแล้วในตอนที่เราตัดสินใจไปแวะที่บ้านของเขาเพื่อทานอาหารมื้อค่ำตามปกติแต่เมื่อเราเปิดประตูหน้าเข้าไปเราก็ได้ยินพ่อแม่ของเขาโต้เถียงกันในห้องครัวเสียงดังมากไม่มีใครได้ยินเสียงประตูที่เปิดและปิดโล่งเพราะพ่อเขาตะโกนดังจริงๆแต่แม่เขาก็พยายามจะทำให้เขาใจเย็นลงด้วยการตะโกนกลับอย่างไรก็ตามถึงฉันจะเกิดเป็นส่วนของครอบครัวแล้วฉันก็ยังรู้สึกว่าตอนนี้ฉันกลับบ้านไปก่อนจะดีกว่าลองนึกภาพดูสิว่าฉันประหลาดแค่ไหนเมื่อกลับบ้านและได้เห็นฉากเดียวกันกับพ่อแม่ของฉันที่กำลังตะโกนและโวยวายใส่กันอยู่ที่ชั้นบนชั้นก็เลยเข้าไปในห้องของตัวเองแต่ก่อนจะเข้าไปฉันก็เจอพ่ออยู่ที่บันไดซะก่อนแต่เขาดูโมโหมากแล้วเขาก็ถามฉันว่าฉันไปไหนมาฉันจะพยายามเล่าให้พ่อฟังเรื่องการโต้เถียงที่ฉันได้ยินที่บ้านของ “เบ็น” แต่น่าแปลกที่พอฉันพูดถึงครอบครัว “เบ็น” มันก็ยิ่งทำให้พ่อของฉันโกรธมากขึ้นอีกเขาไม่รับฟังฉันเลยและเดินลงไปชั้นล่างพึมพัมคำสบถหรืออะไรสักอย่างถึงเพื่อนรักของเขานี่มันแปลกสุดๆฉันก็เลยตัดสินใจเล่าให้ “เบ็น” ฟัง
ปรากฏว่าเขาเพิ่งจะพบว่าพ่อของพวกเราเพิ่งทะเลาะกันมันเป็นเรื่องอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับการเลื่อนชั้นในบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่ทั้งคู่ได้รับการเสนอตำแหน่งลับหลังอะไรทำนองนั้นแล้วก็อย่างที่โชคชะตาเป็นไปพ่อของฉันได้รับการเลื่อนขั้นพอพ่อของเบนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงกล่าวโทษพ่อของฉันที่หักหลังแล้วก็คุณรู้ส่วนที่เหลือแล้วนี่นาวันต่อมาที่จริงเป็นต้องมารับฉันเพราะเราวางแผนกันว่าจะไปเที่ยวชายหาดแต่เขาส่งข้อความมาหาบอกว่าเขารู้สึกไม่ค่อยดีไม่อยากออกไปอาบแดดฉันเลยตัดสินใจไปหาเขาแทนแต่ว่าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นฉันอยากเอารถของพ่อไปได้ทุกทีพ่อไม่เคยติดใจเอาความแต่ครั้งนี้เขาไม่ให้ฉันเอารถไปใช้พ่อบอกว่าเขาไม่อยากให้รถแสนล้ำค่าของเขาไปจอดอยู่ในที่จอดรถของพวก “บริทช์” ฉันพยายามจะทำเป็นพูดติดตลกทำนองว่าขอบคุณพระเจ้าที่พ่อไม่ว่าอะไรที่หนูจะไปที่นั่นแล้วพ่อก็ตอบว่าที่จริงพ่อว่าห้ามเข้าไปใกล้พวกเขาและอยู่บ้านเฉยๆซะ
ไม่จริงน่าสถานการณ์เรื่องงานและการทะเลาะกันกับพ่อ “เบ็น” ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันโมโหขึ้นมาฉันหมายถึงทำไมทั้งครอบครัวถึงต้องเข้าไปมีส่วนในความขัดแย้งอะไรแบบนี้ด้วยฉันบอกว่าฉันคิดยังไงและเขาก็เริ่มตะโกนใส่ฉันฉันจึงตะโกนกลับซึ่งแน่นอนที่สุดว่ามันไม่ใช่เรื่องฉลาดสำหรับฉันเลยเพราะจบเรื่องนี้ด้วยการบอกว่าไม่เพียงแต่ฉันจะถูกกักบริเวณนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปแต่ฉันยังไม่ได้รับอนุญาตให้คบกับ “เบ็น” อีกต่อไปด้วยฉันกลับขึ้นไปบนห้องด้วยความโกรธเกรี้ยวและล็อกประตูหวังว่าเขาจะไม่ทำแบบนั้นจริงๆอย่างน้อยก็กับ “เบ็น” และฉันแต่กลายเป็นว่าฉันคิดผิดอย่างแรงแน่ล่ะฉันรีบตรงโทรไปหา “เบ็น” แล้วเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟังและฉันก็ร้องไห้ด้วยเพราะสถานการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ “เบ็น” เกลียดเวลาที่ได้ยินเสียงฉันร้องไห้เขาพร้อมจะตีกับใครก็ตามที่ทำให้ฉันหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียวเขาพยายามทำให้ฉันใจเย็นลงและสัญญาว่าจะขับรถมาที่บ้านฉันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ฉันเริ่มมองออกไปนอกหน้าต่างยิ่งมองนานเท่าไหร่ “เบ็น” ก็จะมาได้เร็วขึ้นเท่านั้นแต่แทนที่จะเห็นเขากลับไม่เห็น
30 นาทีต่อมาหลังจากที่เราคุยกันฉันก็ได้รับข้อความหนึ่งในนั้นบอกว่าพ่อของ “เบ็น” ต้องเข้าโรงพยาบาลด่วนเพราะเส้นเลือดในสมองแตก ฉันรู้ว่าฉันต้องไปอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนเขาไม่ว่าพ่อของเราจะทะเลาะกันหนักแค่ไหน “เบ็น” ก็ต้องการฉันดังนั้นฉันเลยปีนออกมาทางหน้าต่างห้องนอนแล้วก็โดดไปบนต้นไม้ใกล้ๆฉันเกือบตกต้นไม้แหนะและเอาจักรยานของฉันขี่ตรงไปโรงพยาบาลฉันไม่รู้ด้วยว่าพ่อของ “เบ็น” อยู่แผนกไหมแต่ฉันเห็นแม่ของเขาที่โถงทางเดินกำลังพยายามซื้อกาแฟจากเครื่องกดอัตโนมัติฉันจึงตรงไปหาเธอและถามว่าคุณ “บริทช์” อาการเป็นอย่างไรและเกิดอะไรขึ้นแต่เธอดูไม่ได้ดีใจที่เห็นฉันเลยฉันหมายถึงไม่เลยสักนิดเดียวเธอแทบไม่พูดอะไรกับฉันแบบไม่ทักทายไม่บอกลาแล้วจากนั้นก็พยายามจะไล่ฉันออกไปให้ไวๆแบบตรงกลางตัวเลยบอกว่าไม่มีใครในครอบครัวของเธอดีใจที่จะเห็นฉันตอนนี้หรอกและฉันควรจะอยู่ห่างๆ “เบ็น” ไว้จะดีกว่า
คนรอบข้างเริ่มมองมาที่เราและฉันก็รู้สึกขุ่นเคืองและอับอายมากในเวลาเดียวกันจนฉันเริ่มร้องไห้อีกครั้งฉันพยายามจะโทรหา “เบ็น” แต่ในโรงพยาบาลไม่มีสัญญาณฉันเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากปั่นจักรยานกลับบ้านฉันไม่รู้ว่าต้องรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ยังไงฉันรออยู่ข้างๆโทรศัพท์ตลอดวันด้วยหวังว่า “เบ็น” จะโทรมาแล้วบอกฉันว่าพ่อเขาเป็นอย่างไรบ้างโชคดีที่ได้ตอนดึกคืนนั้นในที่สุดเขาก็โทรมาแล้วบอกว่าพ่อของเขาไม่เป็นอะไรแล้วเขายังคงเล่าให้ฉันฟังด้วยว่าทำไมพ่อเขาถึงเส้นเลือดในสมองแตกมันเกิดจากการทะเลาะกันเมื่อ “เบ็น” พยายามจะออกจากบ้านมาหาฉันและคุณ “บริทช์” ก็ไม่ยอมก็อย่างนั้นแหละก็เหมือนฉันและพ่อเลยฉันบอกเขาด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับแม่ของเขาที่โรงพยาบาล “เบ็น” ทั้งตื่นตะลึงและโกรธแม่ของเขาขึ้นมาแต่ฉันย้ำว่าอย่าเพิ่งด่วนใจร้อนไปฉันหมายความว่าถ้าคุณจะกลัวว่าสามีของตัวเองจะเป็นอะไรไปแล้วพูดกันตามตรงฉันก็พอจะเข้าใจการกระทำของเธอ
“เบ็น” สัญญาว่าจะใจเย็นๆไว้และมหาชั้นในตอนเช้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม และเช้าวันต่อมาในที่สุดเราก็ได้เจอกันจริงๆที่ร้านกาแฟและที่นั้นเอง “เบ็น” ขอฉันแต่งงาน อืม…ที่จริงเราเคยคุยเรื่องอยู่ด้วยกันแล้วแต่นั่นเกิดก่อนที่พ่อของเราจะทะเลาะกันครั้งใหญ่ในเมื่อตอนนี้พ่อของเราต่อต้านความสัมพันธ์ของเราการแต่งงานจึงดูเป็นโอกาสเดียวที่จะพาเราออกไปจากอิทธิพลของพ่อแม่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังตัดสินใจจะลองพยายามเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้ครอบครัวของเราย่อมลืมความบาดหมางไปและจัดแจงจองโต๊ะไว้ในร้านอาหารแถวบ้านร้านหนึ่งเชิญทั้งพ่อแม่ของเรามากันอย่างลับลับแต่ฉันต้องบอกพวกคุณเลยว่าเรื่องนี้ไม่ได้ผลฉันหมายถึงพ่อของพวกเราไม่ได้ลุกขึ้นมาทะเลาะกันในที่สาธารณะแต่ความตึงเครียดระหว่างพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
เราพยายามจะทำให้พวกเขาหันมาคุยกันแต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเราจะย้ายไปแอลเอและอยู่ด้วยกันที่นั่นทั้งคู่ก็หน้าแดงด้วยความโกรธจัดพ่อบอกว่าถ้าฉันทำแบบนั้นเขาจะไม่ให้เงินฉันแม้แต่แดงเดียวและพ่อของ “เบ็น” ก็แค่ฟังเราเงียบๆแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรแล้วตอนนี้ฉันก็กำลังเล่าเรื่องให้คุณฟังไปแพ็คกระเป๋าไปฉันรู้ว่าแม่ของฉันกำลังร้องไห้อยู่ในห้องข้างๆเพราะแม่พยายามจะโน้มน้าวให้พ่อคิดถึงใจฉันบ้างแต่เขาไม่ฟังอะไรเลยและ “เบ็น” กับฉันก็จะขึ้นเครื่องไป แอลเอ พรุ่งนี้ฉันไม่รู้เลยว่าชีวิตนับจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป อ้อใช่เราเพิ่งแต่งงานกันในห้องโถงในอาคารว่าการของเมืองเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
นี่เองนี่คือเรื่องราวของฉันใครจะรู้ล่ะบางทีอาจจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่าเวลาจะช่วยเยียวยามิตรภาพของพ่อเราและ 2 ครอบครัวก็จะกลับมาอยู่ร่วมกันได้อีกครั้งแบ่งปันความคิดเห็นของคุณได้นะถ้าคุณคิดเหมือนฉันและกดไลค์ให้วีดีโอของฉันด้วยล่ะบาย