ฉันกำลังเดทกับพี่ชายบุญธรรมของฉัน
สวัสดี!! ทุกคนฉันคือ “รินเซ่” ฉันอายุ 15 และฉัน อืม.. ฉันควรทำยังไงดี เอาละ
ฉันตกหลุมรักพี่ชายของฉัน แน่นอนเค้าเป็นพี่ชายบุญธรรม “ทำไม! คุณคิดว่าอะไร” เรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อฉันอายุประมาณ 11 ปี และพี่ชายของฉัน “เจเด้น” อายุ 12 เค้าแก่กว่าฉัน 1 ปี ไม่สิ.. จริงๆในเวลานั้น เราได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แต่ทุกๆอย่างเริ่มขึ้นก่อนหน้านั้น เมื่อลูกบาสเกสบอลของ“เจเด้น”ลอยข้ามรั่วของเรามา และ อ่า..!! มันเป็นความทรงจำที่แย่มาก มันตกลงบนโต๊ะตุ๊กตาท่ามกลางงานเลี้ยงน้ำชาของฉัน โอ้ยย.. โต๊ะน้ำชาสีชมพูที่งดงามของฉัน มันพลิกคว่ำ ชุดน้ำชาอันแสนหวานของฉันพังกระจาย ชุดน้ำชานั่นมันสวยจนแม้กระทั่งราชินีอังกฤษยังต้องอิจฉา เพื่อนๆของฉันแม้ว่าพวกจะเป็นตุ๊กตากันก็เถอะ ก็โกรธ..และหงุดหงิดมาก พวกเค้าปฏิเสธที่จะแวะมาจิบชากับฉันหลังจากเกิดเหตุการณ์นั่น และสุดท้ายชุดสวยของฉันก็ทำไห้ฉันดูเหมือนเจ้าหญิงจริงๆ ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยโคลน
ในเวลานั้นเองฉันพบว่า“เจเด้น”มีตัวตนและตระหนักได้ว่าฉันไม่ชอบเค้าเอาสะเลย เพื่อให้ฟังดูดีขึ้น พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน 2 ครอบครัวอยู่ในทาวน์เฮ้าส์เดียวกัน พ่อแม่ของฉันและฉันอาศัยอยู่ทางฝังซ้าย และครอบครัวของ“เจเด้น” อยู่ฝังขวา เราแยกจากกันด้วยรั้วสูง สำหรับเด็กๆมันดูเหมือนกำแพงเมืองจีนเลยทีเดียว แต่นั่นมันก็ไม่ได้เพียงพอสำหรับฉัน หัวใจน้อยๆของฉันมีพื้นที่มากพอสำหรับความขุ่นเคืองอันยิ่งใหญ่ต่อเพื่อนบ้านอันธพาลของเรา ดังนั้นฉันจึงมีความสุขมากขึ้นถ้าฉันจะไม่ต้องเห็นหน้าเค้าอีก แต่เป็นไปไม่ได้ พ่อแม่ของเราตัดสินใจว่าพวกเค้านั้นเป็นมากกว่าเพื่อนบ้านและกลายเป็นเพื่อนกัน พวกเค้าไปมาหาสู่กันทุกวัน จัดบาร์บีคิวด้วยกัน และทำทุกอย่าง อย่างที่พวกผู้ใหญ่น่าเบื่อทำกัน ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเค้าไม่ได้เรียกร้องไห้ “เจเด้น” กับฉันต้องเป็นเพื่อนกันไปด้วย “เจเด้น” อาจจะไม่ถือที่จะเล่นบาสเกสบอลด้วยกันกับฉัน แต่ฉันกับลูกบอลเนี้ยนะ เฮ้อ.. จริงๆแล้วฉันไม่ได้อยากคุยกับเค้าด้วยซ้ำ ไม่ใช้เพียงเพราะบาดแผลในวัยเยาว์ของฉันกับงานเลี้ยงน้ำชาที่ถูกทำลาย แต่มันรวมถึงความจริงที่ว่า พ่อแม่ของฉันเลี้ยงดูฉันราวกับเจ้าหญิงน้อยๆ และฉันคิดว่านั้นไม่เหมาะฉัน จะไห้ฉันไปเล่นกับเด็กผู้ชายในละแวกบ้านน่ะหลอ.. ไม่มีทางหรอก
พ่อแม่ของ“เจเด้น”เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ในตอนนั้นฉันอายุ 11 ฉันคิดว่าฉันได้ทำอะไรผิด และกลัวว่าพ่อจะมาต่อว่าฉัน แต่ทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เค้าแค่บอกว่าเค้าต้องบอกอะไรบางอย่างกับฉัน เพื่อนบ้านของเราไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว และลูกชายของเค้า“เจเด้น” นั่นอยู่ลำพังอย่างโดดเดี่ยว พ่อบอกฉันด้วยว่าเราต้องช่วยเค้าและให้เค้าอยู่กับเราสักพัก ในเวลานั้นฉันไม่ได้ตระหนักถึงโศกนาฏกรรมมที่พึ่งเกิดขึ้น ฉันแค่คิดว่าทำไม“เจเด้น”ควรจะมาอยู่กับบ้านเราถ้าเค้ามีบ้านของตัวเองอยู่แล้ว และฉันแค่โล่งใจที่การพูดคุยอย่างจริงจังนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของฉัน ฉันจึงเพียงแค่พยักหน้ารับพ่อแม่ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฉันฟัง และฉันก็ไม่แน่ใจว่าฉันควรต้องรับรู้มันด้วย แค่นั้นก็มากพอแล้ว พ่ออุ้มฉันไปนั่งบนตักและจ้องตาฉันอย่างจริงจังและอ่อนโยน
“เจเด้น” มีห้องแยกส่วนตัว แต่ฉันฝังใจกับตัวเองโดยคิดว่าเค้าจะมารบกวนฉัน แต่คุณรู้ไหม ฉันเห็นเค้าแทบจะนับครั้งได้ เค้าเงียบมากจนแทบจะไม่พูดอะไร เค้าใช้เวลาส่วนใหญ่ในสนามหลังบ้าน เล่นบาสเกสบอลคนเดียว และต่อมาแม่ขอให้มีการพูดคุยอย่างจริงจัง ปรากฏว่า“เจเด้น”ไม่มีญาติพี่น้องในเมืองของเราเลย ที่จริงแล้วญาติเพียงคนเดียวของเค้าที่มีก็อยู่ไกลและอาศัยอยู่ในอีกด้านของประเทศ ดังนั้นแม่ฉันจึงเตรียมความพร้อมสำหลับการตัดสินใจร่วมกันกลับพ่อ นั่นคือ.. พ่อแม่ของฉันตัดสินใจที่จะรับอุปการะ“เจเด้น” โอ้พระเจ้า!! พ่อแม่ของฉันสามารถจัดการทุกขั้นตอนทั้งหมด และ“เจเด้น”พักอยู่ในอีกห้องหนึ่งของเค้า อีกฟากหนึ่งของทาวน์เฮ้าส์จะต้องถูกปิดไว้จนกว่าพี่ชายบุญธรรมของฉันจะโตเป็นผู้ใหญ่ ใช้.. ฉันต้องชินกับความคิดที่ว่า ตอนนี้ฉันมีพี่ชายบุญธรรมแล้วซึ่งฉันรับไม่ได้ คุณน่าจะรู้ฉันเป็นลูกคนเดียวในบ้าน และมันน่าจะต้องเป็นแบบนั้น มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่เป็นเพราะพ่อแม่ของฉันเลี้ยงฉันด้วยความคิดที่ว่า ฉันเป็นลูกสาวที่รักเพียงคนเดียว และพวกเค้าจะไม่มีทางมีลูกเพิ่ม และนั้นเอง ฉันจึงเข้าสู่สนามประลองในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความสนใจจากพ่อแม่ และฉันไม่อ่อนข้อให้“เจเด้น”เพียงเพราะว่าเค้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มันทำไห้ฉันโมโห ฉันไม่พร้อมที่จะแบ่งปันบ้านของฉัน ครอบครัวของฉัน หรือชีวิตกับผู้ชายคนนี้ แน่นอนพ่อแม่ของฉันพยายามดูแล“เจเด้น”และคอยปกป้องเค้า ถึงพวกเค้าจะไม่เคยละเลยฉัน แต่ฉันก็ยังรู้ได้ถึงความขมขื่นราวกับถูกทอดทิ้ง ยังไงก็ตามฉันโตขึ้นและค่อยๆกำจัดความคิดอคติเหล่านี้ออกไป แต่มันได้หมายความว่าฉันเริ่มปฏิบัติกับ“เจเด้น”อย่างเห็นอกเห็นใจ ฉันแค่ไม่ได้ใส่ใจเค้านัก เป็นเวลานานหลังจากที่พ่อแม่แท้ๆของเค้าเสียชีวิต พี่ชายบุญธรรมของฉันไม่สามารถทำใจกับความจริงที่ว่าเค้าถูกอุปการะ เค้าทำตัวห่างเหินเรา 2, 3 ปี แต่ด้วยการเยียวยาทางจิตใจและความอ่อนโยนของพ่อแม่ฉัน ทำให้เค้ารับรู้ได้ว่า เค้าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และเค้ายังมีครอบครัวอยู่อีกครอบครัวนึง นั่นคือวิธีที่เราใช้ชีวิตร่วมกับ“เจเด้น” ทุกคนอยู่ในโลกของตัวเอง เราแทบไม่ได้เจอกัน บางทีอาจจะแค่ที่โต๊ะอาหาร และในห้องโถงของบ้าน การสื่อสารของเรามีน้อยมาก แค่คำว่า “สวัสดี” ถ้าฉันอารมณ์อะนะ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเค้าปฏิบัติกับฉันอย่างเยือกเย็น และรักษาระยะห่างของเค้า และมันก็ไม่ได้กวนใจฉันแต่อย่างใด
ทุกอย่างก็.. ไม่ได้ทุกอย่างหรอก แต่มันก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เมื่อฉันเข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกันกับ“เจเด้น” โรงเรียนของเรามีขนาดเล็ก ดังนั้นตอนนี้เราจึงเจอกันบ่อยมากขึ้นกว่าที่บ้าน คุณรู้มั้ยในห้องโถงของโรงเรียนที่โต๊ะในโรงอาหาร ตอนนี้เราได้เรียนร่วมห้องกันในบางครั้งด้วย “เจเด้น” มีอายุมากกว่าฉันเพียง 1 ปี ดังนั้นเราจึงมีเพื่อนร่วมกัน และเพื่อนผู้หญิงบางคนที่ฉันรู้จัก ก็เป็นแฟนกับคนในกลุ่มของ“เจเด้น” เอาง่ายๆก็คือตอนนี้พวกเราอยู่ในสังคมเดียวกันนั้นเอง “และคุณรู้มั้ย” ฉันได้เห็น“เจเด้น” ในแบบที่แตกต่างออกไปจากตอนนี้ที่เค้าอยู่ที่บ้าน ฉันคิดว่าเค้าเป็นแค่เด็กวัยรุ่นที่พูดน้อยน่าเบื่อ แต่กลับกลายเป็นว่าเค้าเป็นคน “ป็อปปูล่า” มากที่โรงเรียน ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าเค้าจะมีเพื่อนมากมายขนาดนี้ ยิ่งกว่านั้นเค้ายังเป็นคนที่เคารพนับถือในโรงเรียนอีกด้วย หลายครั้งฉันเห็นว่าเค้าเป็นคนแรกที่คอยเค้าไปปกป้องคนที่ถูกรังแก “เจเด้น” เป็นคนรูปร่างสูงและแข็งแรง ดังนั้นพวกอันธพาลทั้งหลายจึงพากันล่าถอย ที่จะต้องเผชิญหน้ากับเค้า ยังไงก็ตามที่ฉันคิดเสมอว่าพี่ชายบุญธรรมของฉัน เค้าเล่นบาสเกสบอลเพียงเพราะเค้าไม่มีอะไรทำ แต่ไม่ใช้เลยปรากฏว่า“เจเด้น” เป็นหนึ่งในผู้เล่นบาสเกสบอลชั้นนำในทีมของโรงเรียน และเค้ายังมีอนาคตที่ดีทางด้านกีฬาอีกด้วย ถ้าเค้าไม่หันไปเอาดีทางด้านวิทยาศาสตร์สะก่อน โอ้.. ใช้แล้วฉันเคยเสมอว่า“เจเด้น” ไม่ได้ฉลาดเท่ากับฉัน และฉันไม่เคยคิดเลยว่าปีที่แล้วพี่ชายบุญธรรมของฉันได้รับรางวัลดีเด่น อันดับ 2 จากการแข่งวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียน ซึ่งได้คะแนนห่างจากอันดับที่ 1 เพียงแค่ไม่กี่คะแนนเท่านั้น ดังนั้นหลังจาก 4 ปีที่เราอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ฉันพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพี่ชายบุญธรรมของฉันนั้นเป็นคนที่เจ๋งมากๆ ฉันนี้อึ้งไปเลย และด้วยเหตุผลบางอย่างที่น่าละอาย ฉันเริ่มคิดถึงทุกช่วงเวลาที่“เจเด้น” กับฉันเคยทำอะไรด้วยกัน คุยกัน ออกไปเที่ยวกัน ใช้เวลาด้วยกันร่วมกันกับพ่อแม่ของเรา ช่วงเวลาเหล่านั้นฉันแทบจะนับครั้งได้แต่สิ่งที่ฉันทำอยู่บ่อยครั้ง กลับเป็นการแกล้งเมินเค้าหรือพยายามทำร้ายจิตใจเค้า ไม่ทางใดก็ทางนึง พูดง่ายๆคือ ฉันทำตัวเหมือนคน “งี่เง่า” และฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ฉันต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเค้า บางอาจจะเป็นเพื่อนและออกไปเที่ยวด้วยกัน
แต่คุณรู้มั้ย!!? ตอนนี้“เจเด้น” เป็นฝ่ายเริ่มไม่สนใจฉัน ฉันพยายามคุยกับเค้าที่บ้านและที่โรงเรียน และพยายยามออกไปเที่ยวกับเพื่อนของเค้า แต่มากสุดเค้าแค่ตอบโต้ด้วยคำพูดที่แสนว่างป่าวแค่ 2 3 คำ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไม“เจเด้น” ถึงเย็นชากับฉันนัก แต่ฉันสับสนมากกว่า ว่าทำไมมันถึงทำไห้ฉันโกรธได้ขนาดนี้ และฉันก็โกรธจริงๆนะ!! ดังนั้นฉันจึงเริ่มต้นปฏิบัติการทำลายน้ำแข็งที่เค้าก่อขึ้นระหว่างเรา โรงเรียนของเราจัดกิจกรรมกลางแจ้ง ออกค่ายระยะสั้นที่อุทยานแห่งชาติที่ใกล้ที่สุด มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ มันก็แค่เป็นหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยให้วัยรุ่นถอยออกมาจากอินเตอร์เน็ต และให้พวกเค้าได้สูดอากาศบริสุทธิ์บางเท่านั้นเอง มันฟังดูน่าเบื่อแต่ฉันคิดว่าฉันจะใช้โอกาสนี้หาเวลาเพื่อได้ไปเดินเล่นและไปพูดคุยกับ“เจเด้น” แบบเปิดใจ ฉันจะแกล้งทำเป็นว่าข้อเท้าของฉันพลิก และผู้พิทักษ์คนอ่อนอย่าง“เจเด้น” คงไม่สามารถทำนิ่งดูดายอย่างแน่นอน มันฟังดูเหมือนแผนและทุกอย่างเริ่มต้นไปได้สวย ฉันจัดการจนได้ออกไปเดินกับเค้า แยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนๆ แต่ฉันก็ไม่ได้ออกไปสำรวจพื้นที่อย่างถูกต้อง และฉันก็โง่พอที่จะเดินเล่นไปตามหุบเขาลึก เมื่อฉันพร้อมที่จะสวมบทบาทข้อเท้าพลิกกลายเป็นว่าฉันลื่นและล้มลง ฉันบาดเจ็บจริง เมื่อฉันลื่นลงไปที่หุบเขาและ“เจเด้น”ก็รีบตามลงมา ดูเหมือนว่าเค้าจะเป็นห่วงฉันจริงๆ แต่ตอนนั้นฉันคิดอะไรไม่ออก ฉันแค่พยายามที่จะไม่ร้องไห้กับการที่ทำไห้ตัวเองต้องเจ็บตัวอย่างนี้
“เจเด้น” เช็คดูไห้แน่ใจว่าไม่มีส่วนกระดูกไหนของฉันหัก เค้าประครองฉันในอ้อมแขน แล้วพาฉันกลับไปที่ค่ายและในขณะนั้นเอง ฉันลืมทุกความเจ็บปวด และทุกรอยขีดข่วน เพราะสิ่งเดียวที่ฉันสังเกต นั่นคือฉันสังเกตว่าเค้าหล่อมากอย่างเหลือเชื่อ ครั้งนี้มันใช้เวลาไม่นานสำหรับฉัน ที่จะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง “ฉันตกหลุมรักกับพี่ชายบุญธรรมของฉันเอง” โอ้พระเจ้า.. หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฉันก็บอกเค้าทุกอย่างเพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วกับความเย็นชาของเค้า คุณน่าจะเดาได้“เจเด้น”รู้สึกเซอร์ไพรส์มาก แต่ฉันนี้สิที่เป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่า ที่รู้ว่าเค้าตกหลุมรักฉันตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก เค้าได้พยายามอย่างดีที่สุดที่จะจับตามองเด็กสาวผมบลอนข้างบ้าน ที่เค้าชอบมาก แต่ว่าฉันเกลียดเค้า และเมื่อเค้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เค้าก็เลิกคิดถึงความรู้สึกแบบนั้นที่มีต่อฉัน เพราะฉันกลายเป็นน้องสาวเค้า มิหนำซ้ำยังเป็นน้องสาวที่เกลียดเค้าด้วย มีสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่ได้บอก“เจเด้น” แต่ฉันได้บอกพวกคุณไปแล้ว และฉันจะพูดอีกครั้ง “ฉันนี้มันโง่สินดี” เราคุยกันนานมากเกี่ยวกับโอกาสที่เราจะได้คบหากัน และเราก็ไม่พบเหตุผลอะไรที่เราจะทำไม่ได้ เราเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเริ่มออกเดท เราไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด และเราก็ไม่มีอะไรที่ดูคล้ายกันสักอย่าง เค้าเป็นผิวสีฉันเป็นผู้หญิงผมบลอนที่มีเชื่อสายนอร์เวย์ ฉันคิดว่าเราสามารถเป็นคู่รักที่งดงามได้ ในวันถัดไปเราบอกทุกสิ่งกับพ่อแม่ แน่อนว่าพวกเค้าตกใจเล็กน้อย พวกเค้าชินกับความคิดที่ว่า“เจเด้น” เป็นลูกชายของพวกเค้า แต่พวกเค้าก็ไม่มีอะไรที่จะคัดค้าน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างแปลง แต่คุณก็รู้ว่ายังมีสิ่งแปลงๆอีกมากมาย เกิดขึ้นในชีวิตอันแปลงประหลาดของมนุษย์
นี้คือตอนจบของเรื่องราวของฉัน “เจเด้น”และฉันเริ่มออกไปไหนมาไหนด้วยกัน เราไม่มีเวลาบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่โรงเรียน แต่ฉันคิดว่าทุกอย่างมันชัดเจนด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เพียงแค่พวกเค้ามองมาที่เรา 2 คน
ตอนนี้ถึงตาคุณแล้วที่จะเปิดเผยบางสิ่งที่ยากที่จะบอกไคร มันน่าตื่นเต้น และในเวลาเดียวกันมันก็น่าสนใจมาก อย่าลืมกดไลค์และกดติดตาม..