ครอบครัว

ผมพบว่าบ้านผมไฟไหม้ขณะที่พ่อผมอยู่ข้างใน

สวัสดีครับทุกคนผมชื่อ “นิค” อายุ 15 ปีหลังจากที่ผมสูญเสียแม่ไปผมก็หวังว่าชีวิตของผมจะต้องไม่มีความท้าทายอะไรอีกแล้วแต่ไม่นานมานี้ผมถูกทิ้งไว้คนเดียวกลางเกาะที่อยู่ห่างจากบ้านผมนับพันๆไมล์ แน่นอนที่นั่นไม่ใช่เกาะร้าง แต่เป็นเกาะสวรรค์ที่มีหาดทรายสวยงามต้นปาล์มและต้นมะพร้าวผมควรจะมีความสุขที่นั่นแต่ทุกวันผ่านไปผมยิ่งอยากกลับไปบ้านมากขึ้นเรื่อยๆผมคิดถึงชีวิตเก่าของตัวเองและอยากได้ชีวิตผมกลับคืนมาแต่สิ่งนี้ยิ่งทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่าว่า เมื่อผมตระหนักดีว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

เมื่อปีที่แล้วครอบครัวของเราต้องเผชิญความโหดร้ายอย่างยิ่งยวดแม่ของผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหลายเดือนที่แม่ต่อสู้กับโรคร้ายไปโรงพยาบาลมาหลายแห่งแต่ไม่มีที่ไหนช่วยแม่ได้เลยแม้จะมีกำลังใจจากเราก็ยังอาการแย่ลงเรื่อยๆไม่นานแม่ก็จากไปเรื่องนี้ทำให้ผมและพ่อหัวใจแตกสลายเราไว้ทุกข์ให้แม่กับนานมากเราทั้งคู่ต่างซึมและโศกเศร้าพ่อของผมก็อยู่แต่ในบ้านนานหลายสัปดาห์ในทางกลับกันผมออกสถานที่สาธารณะและเดินไปเรื่อยเปื่อยไปรอบๆเมืองแบบนี้ช่วยผมไม่ต้องจมอยู่กับความเศร้าของตัวเอง หลังผ่านไปแบบนี้นานหลายเดือนเพื่อนพ่อผมจึงบังคับให้เราไปพบจิตแพทย์เพื่อแก้ไขสุขภาพจิตของเราเองเราจะไปพบแพทย์และหลังจากการบำบัดและพูดคุยกันหลายครั้ง หมอจึงแนะนำให้เราควรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมบางทีอยากทาสีบ้านใหม่หรือย้ายบ้านหรือไม่อย่างนั้นคือไปอยู่เมืองอื่นสักระยะแบบนี้จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจและทำให้ความเศร้าของเราจากไปได้เร็วขึ้น

พ่อของผมทำตามคำแนะนำนี้และตัดสินใจก้าวต่อไปจะไม่ใช่แค่ย้ายไปอยู่อีกเมืองเขายังอยากเดินบินไปอาศัยอยู่ในประเทศอื่นห่างออกไปไกลนับพันไมล์ผมก็ชอบไอเดียนี้เหมือนกันดูเหมือนเรากำลังจะออกไปผจญภัยกันเลยอีกอย่างผมพึ่งเรียนจบปีการศึกษาเราเลยไม่ต้องลังเลกันสักวินาทีเดียวพ่อจองตั๋วแล้วเราก็ออกจากอเมริกาและตอนนี้เรามาอยู่ที่สรวงสวรรค์ที่ว่าเราเช่าบ้านที่มีสระน้ำและทิวทัศน์ทะเลผมต้องบอกว่าที่นี่สวยมากทุกวันผมจะได้กินผลไม้แปลกๆที่ไม่คุ้นเคยว่ายน้ำในมหาสมุทรเล่นขี่สกู๊ตเตอร์สำหรับผมที่นี่คือรีสอร์ทและทั้งหมดที่ผมทำก็คือเล่นสนุกจะถึงจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจและยอดเยี่ยมที่สุดก็ยังกลายเป็นน่าเบื่อได้ผมรู้ว่าคุณคิดว่าผมโง่ที่ไม่ดื่มด่ำกับชีวิตเหมือนอยู่ในสวรรค์แบบนี้แต่เชื่อผมเถอะหลังจากใช้ชีวิตแบบนี้มา 1 เดือนคุณก็ต้องเบื่อหน่ายกับทั้งหมดนี้เหมือนกันเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์คือการติดต่อและการสื่อสารและนั่นแหละปัญหาพ่อของผมทำงานฟรีแลนซ์และเขาทำงานหนักมากเขาก็เลยใช้เวลาตลอดวันอยู่ที่บ้านอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เขาไม่ได้มาเดินกับผมเลยผมเริ่มรู้สึกเศร้าและโดดเดี่ยวแล้วผมก็เริ่มอยากกลับบ้านเอามากๆแต่พ่อผมชอบชีวิตใหม่ของเราผมคิดว่าเขามีความสุขดีผมก็เลยยอมทนเหงาเพื่อพ่อ 

ผมเห็นแล้วว่าพ่อแย่ขนาดไหนในช่วงที่ซึมเศร้าแล้วผมก็ไม่อยากให้เรื่องมันเกิดขึ้นอีกครั้งดังนั้นผมก็เลยรอจนกว่าจะหมดช่วงฤดูร้อนเมื่อเราบินกลับบ้านแล้วผมกลับไปเรียนแต่เมื่อเวลานั้นมาถึงพ่อผมบอกว่าเขาไม่อยากไปไหนเขาชอบที่นี่มากจนอยากอยู่ที่นี่แล้วเขาก็มีความสุขดีแล้วที่บ้านในอเมริกาก็มีแต่สิ่งที่ช่วยย้ำเตือนความตายของภรรยาผู้เป็นที่รักรอเขาอยู่แต่ผมต้องไปโรงเรียนนี่นาแล้วผมก็คิดถึงเพื่อนทุกคนของผมมากเราก็เลยต่อรองกันเราตกลงว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีก 1 เดือนจากนั้นค่อยกลับบ้านผมต้องบอกว่านั่นคือวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผมเลยผมแค่ไม่มีอะไรทำดังนั้นมันก็เลยเหมือนที่แม่ผมเสียเลยผมเริ่มออกไปยังสถานที่สาธารณะต่างๆเวลาที่เศร้าเพราะว่าสกู๊ตเตอร์ของพ่อไปและขับไปในเมืองเพื่อดูว่าผู้คนใช้ชีวิตเป็นอย่างไรก็ในวันนั้นเองผมก็คิดว่าผมสูญเสียพ่อของผมไปตลอดกาลแล้ว

ในตอนที่ผมอยู่ในเมืองฝนเริ่มตกหนัก เทลงมาหนักมากทำให้เสื้อผ้าของผมเปียกโชกเพียงในไม่กี่วินาทีตอนนี้เป็นฤดูฝนและผมก็หวังว่าพระอาทิตย์ส่องแสงในอีกไม่กี่นาทีต่อมาจะไม่ใช่ในวันนี้ลมเริ่มพัดแรงแล้วผมก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังมาจากไกลๆเห็นได้ชัดเลยว่าพายุใหญ่กำลังมาลมพัดเต็นท์ผ้าใบและร่มของคนขายของบนถนนเดียวกันเป็นแถบๆแล้วฝนก็ตกกระแทกหลังคาหนักมากจนแทบไม่ได้ยินเสียงของความคิดตัวเองทันใดนั้นผมก็เห็นลมหลังคาบ้านหลุดเป็นชิ้นๆ แล้วพัดลอยหายไปจากนั้นทุกคนจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่ฝนแล้วทั้งถนนเริ่มตื่นตระหนกบางคนพยายามซ่อนข้าวของในบ้านบางคนวิ่งไปหาที่กำบังฟ้าผ่าฟ้าร้องเริ่มดังแล้วผมก็เริ่มกลัวมากกว่าเดิมผมยืมโงนเงนเหมือนคนวิงเวียนสงสัยว่าควรทำอะไรต่อไปทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงร้องเด่นลอยมาแล้วนั่นก็รู้จะเป็นสิ่งที่ช่วยเรียกสติผม

ผมมองไปรอบๆและเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนถนนร้องไห้ด้วยความกลัวดูเหมือนเธอจะหาพ่อแม่ไม่เจอไม่มีใครสนใจเธอทุกคนพยายามจะช่วยตัวเองอยู่ผมต้องการเธอหลบออกมาก่อนที่ใครสักคนจะชนเธอซึ่งผมคิดถูกท่านที่ผมอุ้มเธอขึ้นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็ต้องผ่านไปด้วยความเร็วสูงเขาอาจจะชนเธอไปไม่ทันสังเกตเห็นเลยก็ได้ผมต้องหาพ่อแม่ของเด็กหญิงแต่ไม่มีเวลาพอให้หาใจกลางพายุตอนนี้มาอยู่เหนือเมืองแล้วผมมองไปรอบๆกันทุกคนวิ่งเข้าไปในร้านกาแฟผมก็เลยวิ่งตามพวกเขาไปผมโชคดีที่ออกมาจากถนนทานลมพัดกิ่งไม้และส่วนอื่นๆกวาดมาตามถนน ชิ้นส่วนแตกหักและเศษหลังคาบินไปรอบรอบด้วยความเร็วที่ดูบ้ามากข้างนอกนั้นอันตรายมากแต่ในร้านกาแฟปลอดภัยดีผมเลยรอจนกว่าพายุจะสงบอยู่นานเป็นชั่วโมงผมพบคนที่รู้จักพ่อแม่ของเด็กหญิงที่ผมรู้มาจากถนนด้วยผมดีใจที่ได้ช่วยเธอพ่อแม่ของเธอจะต้องกังวลมากๆอยู่แน่เท่านั้นผมก็ต้องหนักขึ้นมาว่าพ่อผมไม่รู้เลยว่าผมปลอดภัยดีหรือไม่เขาจะต้องกังวลมากแน่ๆเพราะรู้ว่าผมอยู่ในเมืองแล้วก็เห็นแล้วว่าที่นี่น่ากลัวขนาดไหนจากนั้นผมก็เลยตัดสินใจได้ว่าผมต้องรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้พ่อไม่กังวล

ผมวิ่งออกไปด้านนอกและเห็นผู้คนเริ่มจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากพายุมันเลวร้ายมากผมได้แต่หวังว่าทุกคนจะไม่เป็นไรผมพยายามหา สกูตเตอร์ ของผมจะดูเหมือนจะหายไปท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้นผมก็เลยวิ่งตรงไปยังบ้านของเราผมรู้ว่าจะต้องนานมากเกินไปก็เลยใช้ทางลัดผมตัดสินใจวิ่งผ่านป่าแล้วจากนั้นก็ตรงไปยังชายหาดและผมจะถึงบ้านได้เลยแต่ผมทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ป่าฝนเขตร้อนหนาทึบมากและขณะที่ผมกำลังวิ่งผมไม่แผลขีดข่วนจากพุ่มไม้และกิ่งไม้มาเป็นโหลอีกอย่างหลังเกิดพายุพื้นดินทั้งเปียกและยุบดังนั้นการวิ่งผ่านป่านั้นยากอย่างเหลือเชื่อผมหวังเป็นพันๆหนให้ผมไม่ได้คิดจะวิ่งผ่านป่ามาไม่นานผมก็เหนื่อยสุดๆผมไม่อยากตั้งสมาธิได้อีกเท้าติดอยู่กับรากไม้ล้มกระแทกพื้นทำให้ตัวเองเจ็บสุดๆตอนนั้นไม่มีเวลาให้ผมดินออกจากตัวผมก็เลยไปต่อผมเดินกะโพลกกะเผลกกับ และแขนก็ยังเจ็บและจากนั้นผมก็ได้เห็นภาพที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตบ้านพักของเราอยู่ท่ามกลางกองไฟรถดับเพลิงจอดอยู่ใกล้ๆและพวกเขาพยายามจัดการดับไฟอยู่ฟ้าผ่าฟ้าใสบ้านและทำให้เกิดหายยานะนี้ส่วนที่เลวร้ายที่สุดคือพ่อของผมอยู่ข้างในผมเริ่มกรีดร้องร้องไห้และพยายามเข้าไปในนั้นแต่หน่วยกู้ภัยห้ามผมไว้และเมื่อพวกเขาเห็นว่าผมมีแผลพวกเขาจึงเรียกรถพยาบาล

ผมไม่อาจบอกคุณได้เลยว่าผมรู้สึกอย่างไรผมรู้แล้วว่าผมพึ่งสูญเสียครอบครัวเพียงอย่างเดียวไปแต่ไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำได้อีกผมได้แต่ยืนดูไฟเผาทำลายบ้านของเราผมวิงเวียนสับสนพวกเขาพาผมไปโรงพยาบาลและดามแขนให้ผม ผมไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำนานหลายชั่วโมงแตกสลายเป็นเาี่ยงๆโดยสมบูรณ์และไม่รู้ด้วยว่าต้องทำอะไรต่อไปผมไม่อยากคิดเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำและไม่มีใครสนใจผมเลยโรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้เคราะห์ร้ายจากเคอรี่เคนพวกเขาเลยแค่ปล่อยผมออกมาผมเดินร้องไห้ไปรอบๆเมืองแบบไม่มีสติร้องไห้ไปด้วยความคิดนี้ที่ว่าผมพึ่งเสียพ่อไปแผดเผาอยู่ข้างใน แต่ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยบางคนตะโกนเรียกว่า “นิค” อยู่ที่ไหนวินาทีนั้นเองผมเหมือนถูกปลุกตื่นจากฝันร้ายผมวิ่งตรงไปทางเสียงนั้นเลี้ยวไปตามถนนแล้วจากนั้นผมก็เห็นเขาพ่อของผมเองเขาวิ่งมาตามถนนเพื่อมองหาผมผมตะโกนไปว่าพ่อจะวิ่งไปหาเขาแล้วกอดพ่อแน่นมากมันเป็นเรื่องอัศจรรย์ผมคิดว่าพ่อผมตายแล้วแล้วผมต้องอยู่เพียงลำพังแต่เขายังยืนอยู่ตรงนี้อยู่ตรงหน้าผมแล้วนี่คือวินาทีที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต

ปรากฏว่าเมื่ออายุเริ่มพัดเขาก็วิ่งออกมาตามหาผมในเมืองพ่อคิดว่าผมตกอยู่ในอันตรายแล้วมาช่วยผมบางทีอยากเป็นตอนเดียวกับที่ผมหลบอยู่ในร้านกาแฟพร้อมคนอื่นๆและขณะที่พ่อกำลังมองหาผมในเมืองผมก็วิ่งผ่านป่าไปหาเขาที่บ้านขอบคุณพระเจ้าที่พ่อไม่ได้อยู่ในบ้านตอนที่ฟ้าผ่าใส่ไม่นานก็กลับบ้านกันแล้วพบว่าข้าวของทุกอย่างของเราถูกเผาเรียบแล้วเราสูญเสียทุกอย่างแต่เราไม่สนใจเรายังมีกันและกันและนั่นก็คือทั้งหมดที่เราต้องการแล้วเราผ่านพ้นปัญหามากมายและกลับบ้านที่อเมริกาเราไม่มีเงินไม่มีเอกสารไม่มีอะไรแต่ตอนนี้เรามีบ้านให้กลับแล้วมีความสุขดีเหตุการณ์ที่ทำให้เราเข้าใจว่ายังมีบางอย่างที่มีค่าให้เราใช้ชีวิตเพื่อสิ่งนั้นแน่นอนว่าเราทั้งคู่ต่างคิดถึงแม่แต่ไม่มีเหตุผลที่หยุดก้าวต่อไปข้างหน้าและทำตัวโดดเดี่ยวในบ้านเราและแม้แต่การหลบหนีไปยังเกาะอันสวยงามก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยคุณต้องเรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปและชื่นชมยินดีต่อสิ่งที่ยังมี

ขอบคุณที่รับชมนะครับทุกคนคุณจะเยือกยืนได้ไหมในสถานการณ์เลวร้ายขนาดนั้นเขียนเล่าในช่อง คอมเม้นได้นะและอย่าลืมแบ่งปันเรื่องนี้กับเพื่อนของคุณด้วยล่ะ 

เรื่องเล่าที่เกี่ยวข้อง

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments
Back to top button
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x

ปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณา

กรุณาปิดโปรแกรมบล็อคโฆษณาก่อนนะ เพราะเว็บจะอยู่ได้ก็จากป้ายโฆษณา