ฉันหนีออกจากโรงเลี้ยงเด็กกำพร้ากับเพื่อนคนเดียวของฉัน เราอดอยากกัน
สวัสดีทุกคนฉันชื่อ “รีเบกก้า” ฉันพนันได้เลยว่าเด็กทุกคนฝันอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่านี้เพื่อที่จะได้ทำอะไรๆที่พวกเขาต้องการในชีวิตและทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงฉันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันไม่นานมานี้ฉันเพิ่งอายุครบ 18 ปีดังนั้นฉันจึงเป็นอิสระเรากับนกแล้วแต่จะเป็นอย่างไรถ้าฉันจะเล่าให้คุณฟังว่าความฝันทุกอย่างของฉันแหลกสลายเป็นชิ้นๆแล้วฉันกำลังยืนอยู่ริมขอบเหวโดยที่ไม่รู้ว่าต้องไปไหน
ฉันเกิดที่แคลิฟอร์เนียฉันมีชีวิตที่มีความสุขที่สุดเท่าที่เคยจินตนาการได้แม่ของฉันเป็นช่างภาพที่ประสบความสำเร็จเราก็เลยไม่เคยขาดแคลนอะไรเลยแต่แล้ววันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปฉันยังคงนอนหลับอยู่ในเช้าตรู่วันหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงแม่พูดดังมากและโต้เถียงกับใครสักคนอยู่ตรงนั้นฉันวิ่งลงบันไดเพื่อที่จะเห็นแม่ฉันถูกใส่กุญแจมือที่ประตูมีตำรวจ 4 นายลากแม่ออกจากบ้านแล้วปิดประตูฉันได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความตกตะลึงไม่อาจขยับตัวไปไหนหรือแม้แต่ร้องไห้ได้เลยแต่ก่อนที่ฉันจะรู้ตัวก็มีเสียงเคาะประตูอีกรอบนึงนั้นเป็นคนจากฝ่ายสังคมสงเคราะห์ที่คอยจัดการเรื่องเด็กพวกเขาบอกฉันว่าแม่ฉันถูกจับในข้อหาอาชญากรรมและเธอไม่อาจกลับมาบ้านได้ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอนเรื่องนี้สร้างความตกตะลึงอย่างใหญ่หลวงกับฉัน
ฉันพยายามบอกตัวเองว่านี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่และทุกอย่างจะเป็นปกติในอีกไม่ช้าแต่เรื่องนั้นก็ไม่เคยเป็นความจริงขณะที่แม่ฉันอยู่ภายใต้การสอบสวนฉันถูกส่งไปอยู่ที่ศูนย์ดูแลเด็กชั่วขณะก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ฉันใช้เวลาอยู่ที่นั่นแค่ 2 สัปดาห์แต่ก็ได้มองเห็นมุมใหม่ๆในความเป็นจริงทั้งหมดฉันมีเพื่อนร่วมทางที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆทั้งวายร้ายรุ่นเยาว์อาชญากรเด็กหัวรุนแรงและพวกนักเลงหัวไม้และฉันก็เป็นเพียงเด็กหญิงซื้อๆ อายุ 15 ปีที่แทบจะไม่เคยพูดคำสบถเลยฉันเคยส่งแต่เสื้อผ้าราคาแพงแต่ทั้งหมดถูกขโมยไปและฉีกทิ้งเป็นชิ้นตั้งแต่คืนแรกที่ฉันอยู่ที่นั่นฉันกลายเป็นตัวประหลาด เด็กๆที่นั่นขังฉันไว้ในห้องน้ำและขโมยสิ่งของรวมถึงอาหารกลางวันของฉันทุกวันเต็มไปด้วยการกลั่นแกล้งทรมานจนกระทั่งฉันได้พบ “ไทเลอร์”
ฉันกำลังเดินกลับห้องเมื่อพบว่าตัวเองถูกกลุ่มเด็กหัวโจกรุมล้อมไว้แต่โชคดีที่ฉันไม่ต้องรู้ว่าตอนนั้นพวกนั้นตั้งใจจะทำอะไรกับฉันผู้ชายที่โตกว่าโผล่ออกมาและช่วยฉันไว้เขาอาจจะเป็นขาใหญ่ที่นั่นหรืออะไรสักอย่างเพราะทุกคนรีบพละจากฉันไปเลยเขาบอกฉันว่าฉันต้องระมัดระวังมากกว่านี้และไม่เดินไปไหนมาไหนบนระเบียงตามลำพังอีกต่อไปแต่ฉันก็ไม่ต้องเดินอยู่คนเดียวเพราะนับแต่นั้น “ไทเลอร์” ก็ไปที่โน่นที่นี่กับฉันเสมอ “ไทเลอร์” กลายเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของฉันและคอยช่วยเหลือฉันในพี่อันเลวร้ายแห่งนั้นเขายังเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันร่วมกันปันเรื่องราวด้วยปรากฏว่าพ่อแม่ของพวกเขาก็ถูกจับและติดคุกโดยไม่มีทีท่าว่าจะได้ออกมาในเร็วๆนี้เช่นกันเขาเคยเปลี่ยนครอบครัวอุปถัมภ์มาแล้ว 5 ครั้งและตามที่เขาบอกทั้งหมดนั้นทำให้เขาต้องเผชิญกับช่วงเวลาอันยากลำบากฝันเพียงอย่างเดียวของเขาคือขอให้อายุครบ 18 ปีเพื่อที่เขาจะได้ควบคุมชีวิตของตัวเองได้
ฉันประทับใจในความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของเขาอย่างมากใช่ฉันคิดว่านั่นเป็นรักแรกพบและไม่นานก็กลายเป็นว่าเราทั้งคู่คิดตรงกันฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้พบรักแรกของฉันในช่วงเวลาที่โศกเศร้าและพังพินาศที่สุดในชีวิตฉันยังคงไม่ได้ข่าวของแม่เลยสิ่งเดียวที่ฉันรู้คือแม่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานต้มตุ๋นและแม่ยังต้องเผชิญกับโทษจำคุกมากกว่า 10 ปีตาของฉันเต็มไปด้วยน้ำเอ่อคลอทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้แต่ “ไทเลอร์” ช่วยให้ฉันผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายไปได้เขาเป็นเพียงแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตฉันแต่ฉันแค่ไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับความสุขครั้งใหม่ที่ฉันได้ค้นพบก่อนที่ทุกอย่างจะจบสิ้นเลยฉันได้รับแจ้งว่ามีครอบครัวอุปถัมภ์ดีๆครอบครัวหนึ่งที่อยากรับฉันไปดูแลจนกว่าฉันจะอายุครบ 18 ปีฉันบอกทุกอย่างกับ “ไทเลอร์” ทันทีฉันวิตกกังวลและเศร้าและไม่อยากสูญเสียเขาไปแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รู้สึกวิตกอะไรเลยเขาบอกด้วยความมั่นใจเต็มร้อยว่าหนีไปด้วยกันเถอะเขาบอกว่าเราไปนิวยอร์กได้เขาจะหางานทำที่นั่นและทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบเหมือนอย่างที่เราเคยต้องแสร้งทำกันไม่ต้องใช้เวลานานนักฉันก็ตอบเขาไปอย่างมั่นใจเลยว่าได้
เราหลบหนีออกไปในตอนกลางคืน “ไทเลอร์” รู้จักประตูลับทุกบานและทุกทางเข้าออกในอาคารดังนั้นเราเลยหนีไปได้จริงๆและนั่นก็คือตอนที่สิ่งนี้เริ่มต้นเส้นทางอันยาวไกลของอนาคตที่สดใสอย่างเราคิดกันไว้เราไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนและมีเงินน้อยมากแน่นอนว่าเราไม่อาจไปถึงนิวยอร์กด้วยเครื่องบินหรือรถเมล์ได้ตัวเลือกเดียวของเราก็คือเดินหรือไม่ก็โบกรถไปซึ่งทั้งสองวิธีนี้ก็อันตรายทั้งนั้นแต่ฉันไม่กลัวเพราะฉันพึ่งพา “ไทเลอร์” ได้และฉันมั่นใจว่าเขารู้ดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่การเดินทางของเรายากลำบากเราต้องเดินกันตลอดทั้งวันนอนข้างถนนและขอเงินกับอาหารจากคนอื่นๆเราอดอยากเสื้อผ้าสกปรกและไม่นานเราก็ดูเหมือนขอทานข้างถนนไม่มีผิดจุดหมายปลายทางของเรายิ่งดูเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆในสายตาฉันดังนั้นพอถึงจุดหนึ่งฉันก็เริ่มคิดถึงการย้อนกลับไปแต่ “ไทเลอร์” แน่ใจกับสิ่งที่ทำอยู่มากและบอกว่าเราต้องไปกันต่อ
เช้าวันหนึ่งเมื่อฉันยังคงหลับอยู่เขาปลุกฉันตื่นดูสดใสไปด้วยความภาคภูมิใจและความสุขเขาเอาเงินปึกหนึ่งให้ฉันดูฉันคิดว่าบางทีนั่นคงมากกว่า $50 ดอลล่าร์นิดหน่อยและฉันไม่ได้ถามเขาด้วยว่าเขาเอาเงินมาจากไหนก็ฉันรู้ว่าฉันคงไม่ชอบคำตอบแน่เขาบอกว่าตอนนี้เราสามารถโบกรถได้แล้วแต่ฉันขอให้เขาพาไปที่ร้านกาแฟเพื่อหาอะไรทานสักหน่อยฉันหิวแทบตายจะทนต่อไปไม่ได้อีกแล้วในที่สุดท้าย “ไทเลอร์” ก็ยอมแพ้แล้วเราเข้าไปในร้านอาหารจานด่วนเล็กๆแห่งหนึ่งเพื่อซื้อฮอทดอก 2 อันฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าฉันจะกินอาหารได้รวดเร็วขนาดนี้เราทั้งคู่กำลังง่วนอยู่กับการกินไม่ได้สังเกตเห็นรถตำรวจที่เข้ามาจอดเลยที่นั่นคงมีโปสเตอร์ติดประกาศต้องการตัวและออกข่าวในทีวีดังนั้นเด็กเสิร์ฟก็เลยจำพวกเราได้ “ไทเลอร์” ถูกส่งกลับไปศูนย์ดูแลเยาวชนและครอบครัวอุปถัมภ์ที่น่ารักที่ว่านั่นก็ยังคงมารับฉันไปอยู่ดีแต่เราไม่มีความตั้งใจที่จะยอมแพ้เราตกลงกันว่าจะส่งข้อความหากันและ “ไทเลอร์” สัญญาว่าจะมาหาฉันเขาจะอายุครบ 18 ปีในอีกไม่นานแล้ว
เขาส่งข้อความหาฉันทุกวันแต่ก็ทำได้ไม่นานนักอย่างจะผ่านไปราว 2 สัปดาห์ฉันก็ไม่ได้รับข้อความอะไรจากเขาอีกเลยฉันยังคงส่งหาเขาแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบและแล้วเวลาก็ผ่านไปในที่สุดแม่ฉันก็ถูกตัดสินจำคุก 15 ปีในเรือนจำถึงตอนนั้นกว่าแม่จะออกมาฉันคงจะอายุเกือบ 30 แล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกันฉันไม่รู้เลยว่าแม่ฉันมีชีวิต 2 ด้านแล้วเรื่องนี้ทำให้หัวใจฉันแหลกสลายไม่มีชิ้นดีตอนนี้ก็ผ่านมาได้ 3 ปีแล้วและเมื่อฉันอายุครบ 18 ปีฉันจะได้โบกมือลาครอบครัวอุปถัมภ์ของฉันสักทีและตัดสินใจออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่คนเพียงคนเดียวในโลกที่ฉันเคยมีคือ “ไทเลอร์” แต่ฉันยังคงไม่ได้ยินข่าวคราวว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาฉันใช้เวลากว่า 3 ปีคิดถึงเรื่องนี้จะพยายามหาคำตอบว่าทำไมเขาถึงทิ้งฉันไปอย่างนั้นแต่ในเมื่อตอนนี้ฉันเป็นผู้ใหญ่ที่มีสิทธิ์ในตัวเองแล้วในที่สุดฉันก็หาคำตอบด้วยตัวเองได้ฉันจึงสถานดูแลเยาวชนและพบคำตอบที่ฉันกำลังตามหา
มีผู้หญิงคนนึงจำไทเลอร์และชั้นและการหลบหนีของเราตอนนั้นได้เธอบอกว่าทันทีที่ฉันออกไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ “ไทเลอร์” ก็พยายามหนีออกไปอีกครั้งบางทีก็คงจะไล่ตามฉันไปพวกเขาใช้เวลาอยู่หลายวันตามหา “ไทเลอร์” จนในที่สุดก็ไปพบเขาเสียชีวิตอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งฉันแหลกสลายสิ้นเชิงฉันสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันรักในชีวิตไปหมดแล้ว แล้วก็ฉันก็อยู่ตรงนี้ไงยังคงอยู่ตามลำพังโดยไม่มีใครและไม่มีอะไรหรือสถานที่ไหนที่ฉันจะไปได้เลยฉันรู้ว่าฉันต้องเข้มแข็งและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่มันเป็นแต่ฉันกลัวมากจริงๆ
พวกคุณรู้จักความรู้สึกเมื่อยามที่โลกทั้งใบพังทลายเหมือนกันไหมคุณจะทำยังไงถ้าพวกคุณเป็นฉัน ฉันจะยินดีมากถ้าได้อ่านความคิดเห็นและคำแนะนำของพวกคุณตอนนี้ฉันต้องการกำลังใจจากพวกคุณจริงๆนะขอบคุณที่ติดตามรับชมเพื่อนคุณ “รีเบกก้า”
สนุก